คลังเก็บป้ายกำกับ: ตำนาน

สัตว์ที่มีความลึกลับที่เรายังเกิดไม่ทัน

Shark Ahoy

เมื่อในปี2010ทางด้านกูเกิลเอิร์ธนั้นได้สามารถจับรูปภาพของเจ้าปลาฉลามที่มีความลึกลับได้ที่ท่าเรือ ซึ่งถ้าหากว่าเรานั้นได้มองรูปภาพแล้วนั้นเราก็จะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นรูปของเจ้าปลาฉลามที่มันได้มีรูปลักษณ์ที่ดูผิดจากปกติขนาดใหญ่ นอกจากนี้ทางด้านนักวิเคราะห์ก็ได้สันนิษฐานว่าเจ้าปลาฉลามตัวนี้

มันอาจจะมีระดับความยาวประมาณ35ฟุตกันเลยที่เดียวแต่สิ่งที่มันดูแปลกไปจากนั้นก็คือมันไม่มีจดบันทึกในส่วนของข้อมูลอะไรเอาไว้เลยที่มันจะดูเหมือนกับเจ้าปลาฉลามลักษณะแบบนี้เลย และเจ้าสิ่งนี้มันอาจจะดูเหมือนกับเป็นปลาฉลามที่อยู่ในยุคของโบราณที่มันยังคงหลงเหลือและมีชีวิตอยู่ใต้ท้องน้ำมหาสมุทรมันก็อาจจะเป็นไปได้

ปลาโบว์โร่

สำหรับใครที่กำลังคิดอยู่ว่ายานUFOและเหล่าซอมบี้ ผี หรือ มนุษย์ต่างดาว ที่มันได้เป็นเรื่องราวที่ฟังดูน่ากลัวแล้วละก็สิ่งที่มันมีชีวิตเหล่านี้มันก็มองดูว่าน่ากลัวไม่แพ้กัน ซึ่งโดยนักวิศวะกรคนหนึ่งก็ยังได้บอกอีกด้วยว่าในขณะที่เขานั้นกำลังใช้งานของกูเกิลเอิร์ธอยู่นั้นเพื่อทำการสำรวจทางเรืออีฟบอล จากนั้นตัวของเขาเองก็จะได้ตกตะลึ่งกับภาพรูปหัวปลาที่มีขนาดใหญ่ที่มันได้หลบอยู่ที่ใต้ผิวน้ำ

ซึ่งมันได้มีรูปลักษณะที่ดูคล้ายกับเจ้าปลาโบวโร่เนื่องจากว่าเจ้าปลาชนิดนี้ได้ชอบแอบอยู่ที่ใต้มหาสมุทรลึกมันได้เป็นปลาที่ชอบหลบซ้อนตัวจากนั้นมันก็การโจมตีสัตว์เล็กที่ได้ผ่านหลุมที่มันซ่อนตัว นอกจากนี้ในการพบเห็นเจ้าปลาโบว์โร่นั้นมันก็ยังต้องเป็นการค้นหาคำตอบอยู่ต่อไปว่ารูปภาพเหล่านี้มันได้เป็นรูปภาพที่แท้จริงหรือว่ามันจะเป็นแค่เพียงรูปภาพตัดต่อเท่านั้น

Nessie

เนื่องจากใต้ท้องทะเลแห่งนี้มันเต็มไปด้วยความลึกลับเยอะแยะมากมายรวมไปถึงสิ่งที่มีชีวิตที่พวกมันได้หลบซ่อนและอาศัยอยู่ที่นั่นแต่ถึงอย่างไรก็ตามยังไม่ได้มีการสำรวจและค้นพบอีกเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้มีรูปภาพปริศนาที่ถูกถ่ายภาพได้จากทางด้านกูเกิลเอิร์ธ เนื่องจากรูปภาพที่ได้เห็นกันอยู่นี้

ยังได้มีการวิเคราะห์แล้วว่ามันได้เป็นสัตว์ที่มีความลึกลับที่มันได้มีชื่อเรียกกันอยู่ว่าเนสซีจากดังรูปภาพที่ได้เห็นมันจะมีลำตัวที่ใหญ่ที่มันได้ว่ายอยู้ใต้ผิวน้ำเนื่องจากมมันได้ดูคล้ายคลึงกับล็อคเนสมอนสเตอร์ สำหรับเรื่องของเจ้าล็อคเนสมอนสเตอร์นี้มันได้เกิดเรื่องขึ้นเมื่อ1,500ปีมาแล้ว

ของขลังที่เกิดขึ้นเองโดยตามธรรมชาติ

ฟันกรามช้าง

ช้างนั้นถือได้ว่าเป็นสัตว์ใหญ่ที่ทรงอำนาจมีอนุภาพน่ากลัวเกรงดังเช่นที่ทรามกันฟันกรามของช้างก็เลยกลายมาเป็นสิ่งที่แสวงหาของนักเล่นเป็นของขลังที่มีคนตามหากันอย่างมากมายเพราะจะหามันนั้นไม่ได้มาอย่างง่ายๆ

เนื่องจากยุคสมัยนี้เมื่อช้างนั้นได้ตายลงคนก็จะนำช้างเอาไปฝังไม่มีการชำแหละ แต่ว่าสำหรับอดีตนั้นช้างมันจะตายตามป่าเขาดังนั้นเวลาที่มันแห้งก็จะเหลือซากทิ้งไว้และก็ฟันกรามของมันนั่นเองถือได้ว่านั่นก็คือของศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งที่เป็นการหาได้ยากอย่างมาก

ซึ่งสำหรับคนรุ่นเก่าๆนั้นมองว่าฟันกรามของช้างนี้เหมาะสมที่จะเข้ากับคนรุ่นเก่าอย่างเช่น ท่านขุนหรือท่านที่มียศสูงๆเช่นนายทหารค้าราชการตำรวจผู้ได้เป็นใหญ่เป็นโตจึงจะเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าของนี้คุณละว่าคนไหนกันที่จะได้เป็นบุคคลที่ครอบครองฟันกรามของช้างนี้ มองว่าจะต้องเป็นคนที่มีบุญวาสนาอย่างแน่นอนเพราะนอกจากนั้นฟันกรามนี้ยังสามารุที่จะทำให้ท่านเลื่อนตำแหน่งได้อีกด้วย แถมยังทำให้ลูกน้องนั้นเกรงขามทำมาหากินก็ง่าย มีแต่เรื่องดีๆ

สำหรับคนสมัยก่อนนั้นมักจะนำชิ้นส่วนในบางส่วนของฟันกรามนี้โดยน้ำเศษเล็กๆมาใส่เข้ากับสีผึ้งที่เอาไว้ทาปากเพื่อเอาไว้ปกครองกับลูกน้อง และเป็นการพูดเพื่อโน้มน้าวใจคนได้อีกด้วยโดยสามารถพูดให้เชื่อฟังในคำสั่งได้สิ่งสำคัญฟันกรามช้างมียานบารมีสูงคือคุณพระศรีรัตนตรัยคอยช่วยปกกันปกป้องรักษาและองค์ยานขององค์ช้างเอราวัณพระพิฆเนศชีปะขาวช่วยขับเสน่ห์จัญไรอาถรรพ์อาเพศต่างๆแก้ คุณไสยกัญชงชนะมานอุปสรรคได้

เคงเป็นเหล็ก

หลายๆคนก็อาจจะไม่เคยรู้จักหากไม่ได้สันใจทางด้านความเชื่อและขอขลังแต่ของขลังชนิดนี้ผู้เฒ่าผู้แก่หรือคนในต่างจังหวัดและคนที่มีชื่อทางด้านนี้จะรู้จักกันดีและแท้จริงๆแล้วเคงเป็นเหล็กนี่ก็คือลังของปลวกชนิดหนึ่ง ซึ่งหาไม่ง่ายนักจะมีอยู่ตามยอดไม้เช่นต้นมะพร้ามและตัวเล็กกว่าปลวกธรรมดา ซึ่งความเชื่อในเรื่องจอมปลวกนั้นคนไทยต่างก็รู้กันดีว่ามันมีอาถรรพ์ที่ห้ามเหยียบห้ามข้ามหรือทำสิ่งไม่ดีต่อจอมปลวกและสำคัญลังเคงก็เช่นกันนานครั้งที่จะเกิดขึ้นเคงเป็นเหล็กนี้

จะต้องเป็นลังที่ร้างแล้วมีสภาพสมบูรณ์แต่เหตุไหนก็ไม่ทราบได้เคงร้างนี้ได้เปลี่ยนสภาพเป็นเหล็กหรือมีความเหล็กกลายสภาพเป็นก้อนหินก้อนเหล็กแต่ยังสมบูรณ์มีรูทางเข้าออกเหมือนลังที่ตัวปลวกยังใช้งานอยู่นั่นเองความเชื่อสำหรับเคงเป็นเหล็กนั้นก็คือใช้ป้องกันอันตรายจากอาสุธต่างๆและอยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า ซึ่งในสมัยโบราณเชื่อกันว่านักรบจะพกติดต่อตอนออกไปยานศึกสงครามแม้ในปัจจุบันความเชื่อของเคงเป็นเหล็กนั้นแทบจะไม่หลงเหลือแล้วและผู้คนที่ได้เข้าไปพบเห็นลังเคงหรือตัวปลวกในต้นมะพร้ามนั้นก็มักจะจับเอามาให้นกกินให้ปลากินและทำร้ายลังไปก็มีเพราะถือว่าปล่อยเอาไว้ใช่ว่ามันนั้นจะกลายมาเป็นเหล็กทุกอันไป

2ประเทศที่สภาพย่ำแย่จากการเมือง

เมืองที่คุณภาพชีวิตที่สุดจะเลวร้ายเหล่านี้ว่าสิ่งทั้งหมดที่เรานั้นต่างมีเหมือนกันก็คือความและแกร่งแย้งของผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง

เมืองบังกี สาธารณรัฐแอฟริกากลาง

สำหรับเมืองบังกีได้มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อาทิของป่าไม้สัตว์ป่ายกตัวอย่างเช่นกอลิล่าและช้างป่าแร่ธาตุต่างๆทองเพชรและยูเรเนียมทั้งนี้เองก็ยังเป็นประเทศที่ได้มีความยากจนมากที่สุดในโลกเนื่องจากเป็นเพราะของสภาพของเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการขาดเสถียนรภาพทางด้านการเมืองนับแต่ตั้งที่ได่รับเอกราชจากประเทศฝรั่งเศษเมื่อในปี2503ทั้งนี้ในบังกีนั้นยังเป็นเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยของความยากจนและยากลำบากอย่างไม่น่าเชื่อเพราะในจำนวนของประชาชนที่มีจำนวนมาก

ก็จะต้องพึ่งพาแต่ความช่วยเหลือเพื่อเป็นความอยู่รอดและยังยิ่งไปกว่านั้นด้านของปัญหาที่ได้มีการทะเลาะกันอย่างรุนแรงทางด้านของสมาชิกในพรรคการเมืองก็ได้มีการเกิดขึ้นอย่างไม่ว่างเว้นในบนพื้นที่แห่งนี้ เนื่องจากในความขัดแย้งของเหล่านักการเมืองแล้วยังได้มีความขัดแย้งทางด้านศาสนาคิดและศาสนามุสลิมด้วยทั้งยังซ้ำร้ายที่ประเทศแห่งนี้ก็ได้เกิดมีการทำการรัฐประหารกันอยู่บ่อยครั้ง

ทั้งนี้ก็ยังส่งผลทำให้ประชาชนได้มีชีวิตในความเป็นอยู่ที่เลวร้ายเป็นอย่างมากทั้งนี้ประชาชนนั้นก็ยังไม่มีที่อยู่อาศัยที่ดีและสมบูรณ์และมันก็เป็นเนื่องมาจากที่ได้มีการทำการรัฐประหารอยู่ทุกครั้งนั่นเองและยังรวมไปถึงด้านปัญหาของเหล่านักการเมืองในประเทศนี้อีกด้วย

เมืองแบกแดด ประเทศอิรัก

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าประเทศที่มีการร่ำรวยน้ำมันและก๊าซทางธรรมชาติอย่างประเทศอิรักทั้งนี้เองก็ยังได้กลายเป็นประะเทศที่ได้รับกับความเสียหายจากผลกระทบบจากความขัดแย้งจากหลายครั้งหลายคาที่ได้มีการเกิดขึ้นมาภายในประเทศอิรักและในทั้งนี้ระบบของการจ่ายกระแสไฟฟ้าของประเทศอิรักนั้นได้สามารถส่งกระแสไฟฟ้าส่งได้เข้าถึงบ้านเรือนของชาวบ้านสามารถส่งกระแสไฟฟ้าได้แค่ประมาณวันละ2/3ชั่วโมงเท่านั้น

และถ้าหากว่าชาวบ้านนนั้นจะต้องการที่จะใช้กระแสไฟฟ้าที่มากกว่านั้นก็จะต้องเป็นไปตามยถากรรมและถ้าหากว่าบ้านหลังไหนที่มีเครื่องปั่นไฟก็จะสามารถที่จะปั่นไฟฟ้าใช้ได้ตลอด24ช.มและถ้าหากว่าบ้านไหนที่ไม่มีเครื่องที่ผลิตปั่นกระแสไฟ้าก็จะต้องอดทนเอาไปตามมีตามเกิดประเทศอิรักนั้นจะต้องประสบปัญหาการขาดแคลนด้านไฟฟ้าอย่างหนักท่ามกลางของสภาพอากาศฤดูร้อนระอุเฉลี่ยถึงประมาณ50องศาเซลเซียส

จำนวนเด็กอิรักกว่าประมาณ3ล้านคนก็ไม่สามารถที่จะกลับไปเรียนหนังสือได้ขณะที่โรงเรียนจำนวนมากกว่าครึ่งประเทศก็ได้รับการซ้อมแซมแน่นอนว่าสิ่งที่ไม่จำเป็นอื่นๆก็ไม่เพียงพอด้วยเช่นกันด้านแพทย์อาหารและยาที่อยู่อาศัยทั้งหมดนี้ทำให้คนในประเทศอิรักต้องเผชิญความเป็นอยู่ที่เลวร้ายสุดนรก

วิทบอร์น ได้ไปพบกับนางเงือกตนหนึ่งที่เขาได้จดบันทึกเอาไว้

การล่องเรือของ วิทบอร์น ได้ไปพบกับนางเงือกตนหนึ่งที่เขาได้จดบันทึกเอาไว้

เจ้าชายโชโตกุ

เจ้าชายโชโตกุหนึ่งในประวัติศาสตร์สำคัญของญี่ปุ่นพระองค์นั้นได้เป็นบุคคลที่มีพลังและมีสติ ซึ่งในศตวรรษ17พระองค์ทรงได้แนะนำรัฐธรรมนูญในมาตรา17ซึ่งได้เป็นการกำเนิดพฤติกรรมจากจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่อีกทั้งเจ้าชายโชโตกุนั้นพระองค์ไม่ใช่เป็นคนที่เชื่อในนิทานปรัมปราหรือไสยเวทย์วิทยาที่พิสูจน์ไม่ได้แต่อย่างไรก็ตามที่ทะเลสาบนิวะเจ้าชายโชโตกุยังได้ทรงเคยสนทนากับมนุษย์เงือกมาแล้ว

ด้านเงือกน้อยยตัวนั้นกำลังจะตายดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่ทางเงือกน้อยนั้นจะเล่าเรื่องของเขานั้นให้คนแปลกน่าฟังเงือกตนนั้นก็ได้เล่าเรื่องราวให้เจ้าชายโชโตกุฟังว่าก่อนที่เขานั้นจะกลายมาเป็นมนุษย์เงือกนั้นเดิมที่แล้วเขาเคยเป็นชาวประมงที่เป็นมนุษย์ธรรมดามาก่อน

แต่เขาก็ได้ล่องเรือเข้าไปในน่านน้ำที่ต้องห้ามและเพื่อเป็นการลงโทษในการฝ่าฝืนกฏต้องห้ามเขานั้นก็ได้ถูกสาปให่้เป็นสัตว์ตัวประหลาดที่น่าเกลียด น่ากลัว ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นนั้นก็จะเรียกว่าNingyoเขานั้นได้รับรู้ถึงความรู้สึกว่านี่มันคือการลงโทษซึ่งเขานั้นก็ได้ขอให้เจ้าชายโชโตกุให้ได้สร้างวัดเพื่อที่จะได้โชว์ร่างกายของเขาหลังจากที่การตายของเขาเพื่อที่จะได้เป็นการเตือนใจชาวประมงรายอื่นๆ

เพื่อไม่ให้ฝ่าฝืนกฏเข้าไปในน่าน้ำที่ต้องห้ามแต่ในปัจจุบันวัดนี้เป็นที่รู้จักกันในนามศาลเจ้าเทนโตเกียวสะซึ่งตั้งอยู่ภูเขาฟูจิที่สินซากของเงือกตนนั้นได้ถูกรักษาและดูแลโดยshintoละทิตามความเชื่อเดิมของชาวญี่ปุ่นละทิที่บูชาเทพเจ้าเชื่อถือเวทมนต์คาถารวมไปถึงการบูชาธรรมชาติและบรรพบุรุษ

กัปตันริชาร์ด วิทบอร์น

ริชาร์ด วิทบอร์นเขาได้เป็นนักสำรวจนักเขียนและเป็นผู้อาณานิคมในดินแดนของผู้คน ซึ่งในศตวรรษ16และ17เขาได้นำเรือต่อสู่กองเรือสเปนและจัดให้มีการหาปลาจากแคนาดาไปยังทะเลมิเตอร์เรเนียนดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากมายคนหนึ่งและเขาก็ไม่ใช้คนที่มีจินตนาการที่เพ้อฝันในปี1610นอกชายฝั่งของNeroundland รัฐแห่งหนึ่งของแคนนาดากัปตันริชาร์ด วิทบอร์นได้อธิบายของการเผชิญหน้ากับนางเงือกที่กำลังว่ายน้ำอย่างล่าเริง

เขาได้กล่าวว่านางเงือกนั้นสามารถว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็วสามารถดำลงไปใต้น้ำและสามารถกระโจนขึ้นเหนือผิวน้ำได้ในระดับที่สูงมากพอที่จะทำให้เขาได้เชยชมสิ่งที่มหัศจรรย์นี้ไหล่และผิวของเธอนั้นไม่ได้ใส่อะไรเลยแต่วิทบอร์นอ้างว่าเขามองไม่เห็นใบหน้าเธอใมนขณะนั้นกัปตันริชาร์ด วิทบอร์นยังได้อธิบายต่ออีกว่า

นางเงือกได้ขึ้นมาบนเรือของพวกเขาซึ่งไม่ทราบว่าพวกเธอนั้นปีนขึ้นมาบนเรือได้อย่างไรแต่พวกลูกเรือกลัวเธอและมีหนึ่งในผู้ลูกเรือตีเธอด้วยพายของเขาหลังจากนั้นนางเงือกก็ได้ว่ายน้ำหนีไปซึ่งเรื่องราวนางเงือกของกัปตันริชาร์ด วิทบอร์นนั้นดูเหมือนจะมีลายละเอียดค่อนข้างมาก

 

สนับสนุนโดย  9luck

ตำนานของหนุ่มรูปงามที่โทษประหารอย่างผู้บริสุทธิ์

ตำนานเชียงงาม

ชายรูปงามกับคำสาปแช่งเมืองหนองหาร ด้วยรูปร่างน่าตาที่งามสงามของบุรุษผู้หนึ่งทำให้สาวน้อยสาวใหญ่หลงไหลแม้สตรีที่มีเล่ามีเรือนแล้วก็หลงเสน่ห์ยื้อแยกกันความฉุน ละมุนวุ่นวายจนสุดท้ายหนุ่มผู้นี้จึงได้รับโทษประหารชีวิตอย่างผู้บริสุทธิ์ได้เป็นที่มาของตำบลเชียงงามหนุ่มรูปหล่อในสมัยโบราณที่ได้มีการสาปแช่ง ณ เมืองหนองหารจังหวัดอุดรธานีให้ได้พบกับความไม่เจริญสมัยก่อนเมื่อนานมาแล้ว

ขณะที่อำนาจของรัฐขอมได้เข้ามาปกครองดินแดนหนองหารหลวงและหนองหารน้อย ซึ่งในปัจจุบันก็คือ อำเภอหนองหาร จังหวัดอุดรธานี ในสมัยนั้นได้มีกลุ่มลาวอพยพเข้ามาอาศัยอยู่บ้านดงแพงภายในเขตการปกครองของเมืองหนองหาร เมืองดงแพงในปัจจุบันคือ หมู่บ้านเชียงงามนั้นเอง

ในหมู่บ้านดงแพงมีครอบครัวหนึ่งมีลูกชายที่หน้าตาหน้ารักมากครั้งถึงวัยที่ต้องบวชเณรครอบครัวนี้จึงได้ให้ลูกชายได้บวชเพื่อศึกษาเล่าเรียนในวัดฉานเมืองสามเณรน้อยก็ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างดีแต่เนื่องจากมีรูปงามที่งามพร้อมทำให้หญิงสาวต่างเข้ามาเข้ามาทำบุญที่วัดฉายเมืองเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้เห็นสามเณรรูปงามหญิงสาวหลายรายต่างก็ได้แย้งกันเพื่อเอาอกเอาใจปรนนิบัติรับใช้ต่างๆใช้เวลาต่อมาเมื่อสามเณรถึงวัยที่จะต้องบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วแต่บิดาก็ให้ลาสิกขาออกมาภาษาที่ใช้เรียกพระสงฆ์ที่ลาสิกขาว่าเชียงและเหตุที่สามเณรมีรูปงามจึงเรียกกันว่าเชียงงาม

สาวน้อยสาวใหญ่รวมไปถึงแม่เมืองหนองหารในขณะนั้นเมื่อรู้ว่าสามเณรได้ลาสิกขาแล้วต่างก็ได้พากันมาเยียมเยือนทั้งหาข้าวปลาอาหารมาให้ผู้หญิงหลายคนต่างก็ได้ทะเลาะแย้งชิงเชียงงามกันจนให้เป็นเรื่องเป็นราวและหลายคนก็มาปรนนิบัติพัดวีเชียงงามจนทำให้ลืมครอบครัวของตนเองทำให้สามีของหญิงสาวเหล่านั้นต่างก็ได้ไปฟ้องต่อเจ้าเมืองหนองหารว่าเชียงงามมาแย้งภรรยาของตนจึงทำให้ครอบครัวของพวกตนต้องเดือดร้อนเจ้าเมืองหนองหารจึงได้เรียกเชียงงามนั้น

มาสอบถามถึงเรื่องที่ได้เกิดขึ้นว่ามันเป็นความจริงหรือไม่แม้ว่าเชียงงามจะยืนยันว่าตนเองนั้นไม่ได้เป็นคนแย้งลูกเมียของใครตนเองนั้นบริสุทธิ์เพราะผู้หญิงที่มปรนนิบัติพัดวีต่างก็นำเอาของมาให้เองตนไม่เคยเรียกร้อง แต่เจ้าเมืองหนองหารก็ไม่ได้ฟังที่เชียงงามอธิบายจึงได้ตัดสันใจได้ประหารชีวิตเชียงงาม

โดยให้เพชร ฆาตมาตัดหัวเพื่อเสียบประจานเพราะเป็นเหตุให้ผู้บ้านต้องเดือดร้อนในขณะที่เชียงงามกำลังจะถูกประหารด้วยวิธีการตัดคอเขาก็ได้กล่าวคำสาปแช่งให้แก่เจ้าเมืองหนองหาร และ เมืองหนองหาร ไม่เจริญเพราะเขาจะต้องมาตายอย่างผู้บริสุทธิหากแม้เมืองหนองหารจะเจริญก็ขอให้เจริญแค่เพียงชั่วคู่ชั่วยามราวกับงูแลบลิ้นเท่านั้น 

หมู่เกาะที่มีความเชื่อว่าเป็นประตูที่ตั้งของเอเลี่ยน

เกาะงูคลั่ง

ได้มีคนว่ากันว่าที่หมู่เกาะแห่งนี้นั้นได้เป็นหมู่เกาะแห่งเล็กๆที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติสนอกชายฝั่งรัฐซานฟรานโรที่ประเทศบราซิล ซึ่งโดยภูมิประเทศในแถบนี้นั้นได้เป็นแนวภูเขาหินยาวไปจนถึงป่าดงดิบและในป่าฝนและยังมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง667ฟุต โดยสถานที่แห่งนี้นั้นจัดได้ว่าได้เป็นพื้นที่ที่อันตรายที่จะต้องใช้ใบอนุญาติเข้าเท่านั้นและได้ประกาสให้หมู่เกาะแห่งนี้ได้เป็นเขตหวงห้ามไม่อนุญาติให้ประชาชนนั้น

เข้ามาอย่างเด็ดขาดยกเว้นแต่ให้กับนักวิทยาศษสตร์ให้เข้าไปทำการศึกษาและ ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่า หมู่เกาะงูคลั่นนั้นก็เป็นเพราะว่าพื้นที่บนเกาะแห่งนี้ได้มีจำนวนงูอาศัยอยู่ประมาณ5,000ตัวเรียกได้ว่า5ตัวต่อตาตรางเมตรกันเลยทีเดียวแล้วก็ล้วนเป็นงูพิษแทบทั้งสิ้นจัดได้ว่าหมู่เกาะแห่งนี้เป็นเกาะงูอย่างแท้จริงเลยทีเดียว

เกาะเคลื่อนที่ได้

เชื่อเหลือเกินว่าโลกของเรานั้นได้มีสิ่งที่ลึกลับอีกมากมายที่จะรอให้พวกเรานั้นได้เข้าไปพิสูจน์กันดูแต่เมื่อเราได้พบแล้วมนุษย์เราก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ทีมงานสำรวจเซนทีโอ้ผู้ผลิตและผู้กับกับภาพยนต์ชาวอาเจนติน่าเขาได้กำลังที่จะไขปริศนาหลังที่เขาได้พบกับเกาะเล็กๆที่แปลกประหลาดและสำหรับที่เขานั้นได้ทำการสำรวจหาพื้นที่ที่จะถ่ายทำหนังและสิ่งที่เป็นปริศนาอันน่าประหลาด

สิ่งนี้ก็แทบจะทำให้เขานั้นลืมจุดประสงค์ของตนเองโดยจากปากคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ได้ทำให้เขาได้รู้และทราบว่าแถบพื้นที่บริเวณนี้นั้นได้มีเรื่องราวที่มันแปลกประหลาดอย่างมากมายแต่มันก็ยังไม่มีใครที่จะได้เคยที่จะเข้าไปสำรวจพื้นที่บริเวณพื้นที่แห่งนี้อย่างจริงจังและโดยลักษณะของหมู่เกาะแห่งนี้นั้นเป็นเกาะที่โค้งกลมสมบูรณ์ที่ได้ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมพารานาระหว่างเมืองแคมปานาและซาราเตของประเทสอาเจนติน่ามันได้เป็นเกาะกลมเล็กๆ

อยู่ในบืงรูปทรงกลมแบบพอดีและมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ118เมตรเท่านั้น ซึ่งความกลมของเกาะแห่งนี้มันชั่งทำให้เพอร์เฟคจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะสามารถที่จะเกิดขึ้นมาเองได้โดยธรรมชาติแต่สิ่งที่จะต้องให้พววกเขาจะต้องตกใจก็คือเมื่อเขาได้นั่งไล่เรียงดูภาพจากGOOgle Mapsตามช่วงเวลาต่างๆแล้วเขาก้ได้พบว่าเกาะกลมอๆแห่งนี้นั้นสามารถที่จะหมุนหรือเคลื่อนที่ได้ราวกับว่ามันมีแกรนเป็นของตนเองอีกทั้งยังดึงดูดของนักล่ายูเอฟโอที่ได้เชื่อว่าสิ่งนี้แหละคือประตูที่ตั้งฐานลับของเอเลี่ยน

หมู่เกาะที่มีตำนานและถูกพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

เกาะห่าผี

โดยเกาะแห่งนี้นั้นเป็นเกาะขนาดเล้กๆที่ได้ตั้งอยู่ในทะเลสาบเดลิเซียอยู่ในประเทศอิตาลีมมันได้มีทัศนียภาพที่ดูสวยงามและได้มีความเงียบสงบแต่รู้หรือไม่ถึงแม้ว่ามันจะดูสวยงามและมันหน้าอยู่แค่ไหนแต่มันกลับไม่มีผู้ใดที่จะกล้าไปใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้เลยสักคนและทำไมมันถึงได้เป็นเช่นนั้นแหละนั้นมันก็เป็นเพราะว่าเกาะแห่งนี้นั้นได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ศตวรรษที่5 โดยได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่าได้เอาไว้ใช้หนีภัยสงครามของชาวอิตาลีกลุ่มหนึ่งที่ได้หนีความโหดร้ายของกองทัพชาวฮั่นที่ได้บุกเข้าโจมตรียุโรป

และในต่อมาในศตวรรษที่17 จึงได้มีการก่อสร้างป้อมปราการขึ้นมายังที่หมู่เกาะแห่งนี้เพื่อใช้เป็นการป้องกันบริเวณพื้นที่ในทะเลสาบซึ่งเรื่องราวของฐานหมู่เกาะแห่งนี้ก็ได้เริ่มต้นในปี1973เมื่อการละโรคได้ระบายในครั้งใหญ่ไปทั่วทั้งยุโรปหมู่เกาะแห่งนี้จึงได้ถูกใช้ให้เป็นสถานที่กักกันผู้ที่ป่วยเป็นการละโรคเพื่อไม่ให้แพร่กระจายไปยังสถานที่อื่นๆ ซึ่งจำนวนของผู้ป่วยนั้นที่ได้ถูกนำเอามาทิ้งไว้พื้นที่บบนหมู่เกาะแห่งนี้คาดว่ามันน่าจะมีมากกว่า160,000คน โดยเป็นที่รู้กันว่าเมื่อใดก้ตามที่ได้มีผู้ป่วยที่ได้ถูกส่งมายังหมู่เกาะแห่งนี้

และก็จะไม่ได้มีใครที่จะได้กลับออกมาอีกเลยและในหมู่เกาะแห่งนี้นั้นจึงได้ถูกใช้ให้เป็นสถานที่สุสานของผู้คนเป็นจำนวนมากกว่า160,000คนและด้วยสาเหตุนี้นี่เองมันจึงไม่มีผู้ใดที่จะกล้าเข้ามาเยียบบบนหมู่เกาะแห่งนี้หากว่ามันไม่จำเป็นเพราะว่ามันได้มีเรื่องราวอันน่าขนลุกเกิดขึ้นมากอยู่เป็นประจำโดยหลังจากที่ภัยการละโรคนั้นได้จบสิ้นลงจากนั้นมีชาวประมงที่ได้ล่องเรือผ่านมายังหมู่เกาะแห่งนี้ก็ได้เล่ากันมาว่าพวกเขาก็มักจะได้ยินเสียงร้อนตะโกนจากบนเกาะลงมากว่าช่วยด้วยมารับที

ซึ่งเสียงที่พวกเขาได้ยินนั้นมันได้เป็นเสียงที่ดังมากเหมือนกับอย่างในสนามกีฬาและพวกเขาก็มักจะมองเห็นเงาของมนุษย์ได้ยืนเรียงรายกันอยู่ที่บริเวณริมหมู่เกาะจนทำให้ผู้คนได้เรียกที่หมู่เกาะแห่งนี้ว่าหมู่เกาะห่าผีและมาจนถึงในปี1922รัฐบาลอิตาลีนั้นก็ได้มีนโยบายให้มาปรับเปลี่ยนจากสิ่งก่ทอสร้างนั้นเอาไว้ใช้เป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นจิตเวช ซึ่งเรื่องราวที่ทำให้ขนลุกก็ได้เกิดขึ้นเช่นกันบรรดาเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็มักจะได้สัมผัสกับความเย็นที่บริเวณต้นคออย่าง

ไม่ทราบสาเหตุแต่ในตอนกลางก็มักจะได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่ภายนอกอาคารและผู้ป่วยก็จะร้องออกมาโดยที่ไม่ทรายสาเหตุในตอนกลางคืน ซึ่งเหตุการณ์เช่นจึงทำให้จติแพทย์หลายคนสติแตกและได้ทำการทุบตีผู้ป่วยจนถูกร้องเรียงและอัดตราการลาออกของเจ้าหน้าที่ก็มีสูงทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ขาดแคลนเจ้าหน้าที่เมื่อเปิดรับสมมัครก็จะไม่มีใครที่จะกล้าเข้ามาสมัครและสุดท้ายโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ปิดตัวลงไป

เขตปกครองของพม่า

จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของรัฐฉาน และ เขตปกครองของพม่า

ผู้ปกครองในเขตพม่าแท้ ในยุคนั้นจึงได้ชักชวนผู้นำเขตภูเขากลุ่มต่างเพื่อให้มาร่วมลงนามร่วมประเทศโดยจะมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะการให้เป็นเวลา10ปีเพื่อที่จะได้เรียกร้องถวงคือเอกราชจากประเทศอังกฤษและในภายหลังจากนั้นจะยอมให้รัฐต่างๆมีสิทธิ์แยกตัวไปเป็นอิสระซึ่งก็ได้เรียกกันว่าสัญญา ปางโหลงแต่สำหรับภายหลังของการลงนามก็ได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมามากมายและทุกอย่างมันดูไม่ค่อยจะราบรื่นนักจนเมื่อได้ครบ10รัฐบาลกลางของพม่าขณะนั้นกลับไม่ยอดให้ทางรัฐต่างๆ

ได้แยกตัวไปเป็นอิสระตามข้อตกลงในสัญญาจึงได้สร้างความไม่พอใจจนได้มาเกิดเหตุการณ์การต่อตานรัฐบาลกลางอย่างหนักด้านกองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่มได้ถูกตั้งขึ้นตามแนวชายแดนและมีการสู้รบต่อสู้กันมาอย่างยืดเยื้อและถึงแม้จะมีการพยายามเจรจาในการหยุดยิงหลายครั้งแต่ต่อมาถจนถึงวันนี้เสียของระเบิดและควันปืนก็ยังไม่เคยได้จางหายไปจากดินแดนแห่งนี้ ดอยก่อวัน ในวันท6กุมภาพันธ์2562 หนึ่งวันก่อนที่จะไกล้มาถึงวันชาติรัฐฉาน หรือ ในวันชาติไทใหญ่ด้านกลุ่มของทีมงานก็ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้กัน

แต่เช้าในตลอดเวลาในช่วงเช้า ณ สถานที่บนดอยก่อวันจะมีการทำพิธีบวงสรวงพระบวรราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งด้านภายในงานจะมีชาวไทใหญ่และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกไกล้เคียงได้เดินทางมาร่วมงานในพิธีกันเป็นจำนวนมากพร้อมทั้งนักเรียนที่กำลังเตรียมทหารรุ่นที่15ของด้านกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ส่วนในช่วงบ่ายก็จะมีพิธีทอดผ้าป่าในวัดก่อวันอิน

โดยเจ้าคณะอำเภอแม่ฟ้าหลวงหลังจากที่ได้เสร็จสิ้นพิธีสงฆ์เหล่าทหารจะได้มีการซักซ้อมเพื่อที่จะได้เตรียมความพร้อมสำหรบที่จะมีงานในวันรุ่นขึ้น ดอยก่อวัน ได้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของรัฐฉาน ซึ่งได้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฐานปฏิบัติการรัฐฉานที่1ภาคพื้นเชียงตุงโดยมีพลเอกเจ้ากอนจิ้นซึ่งเป็นผู้บันชาการที่มั่นนี้ได้ตั้งอยู่ในเขตประเทศเพื่อนบ้านซึ่งได้ตรงข้ามกับอำเภอแม่ฟ้าหลวงจังหวัดเชียงรายทางฝั่งประเทศไทย บนดอยนอกจากจะเป็นฐานที่มั่นทางทหารที่มีค่ายคูประตูรบยังได้มีวัดและโรงเรียนสถานพยาบาลและยังบ้านเรือนประชาชนได้สร้างกระจายอยู่ผู้คน

ซึ่งได้อาศัยอยู่รวมกันประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันที่หลากหลายทั้งชาวบ้านที่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่เดิมและคนที่ได้อพยพหนีภัยสงครามมาจากหลายพื้นที่ในรัฐฉานประชาชนที่ได้มีอยู่ราวๆประมาณ3,000คนครึ่งหนครึ่งหนึ่งจะเป็นชาวคนไทใหญ่

 

สนับสนุนโดย  dewabet

เรื่องเล่าศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร

ตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้วหากจะมีการสร้างเมืองขึ้นมาใหม่จะต้องมีการสร้างเสาหลักเมือง

ซึ่งเมื่อมีการหาฤกษ์ดีได้แล้วก็จะมีการนำเสาหลักเมืองมาฝั่งและเมื่อฟังเสร็จแล้วถึงจะมีการสร้างบ้านเมืองต่อไปและเสาหลักเมืองที่ถูกฟังนี้ชาวบ้านจะพากันมากราบไหว้บูชาเพราะถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองโดยปกติแล้วเสาหลักเมืองจะมีการหาไม้ที่เป็นไม้มงคลมาฝั่งซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เป็นไม้ชัยพฤกษ์หรือหมายราชพฤกษ์และที่กรุงเทพมหานครนี่เองเสาหลักเมืองของกรุงเทพมีการฝังไว้สองต้น

โดยนำทั้งต้นชัยพฤกษ์และราชพฤกษ์มาฝั่งไว้คู่กัน สำหรับศาลหลักเมืองที่กรุงเทพมหานครนั้นมีการสร้างมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วโดยเชื่อกันว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่หนึ่งซึ่งพระองค์เป็นผู้ทำพิธียกเสาหลักเมืองในวันดังกล่าวได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้พระองค์ได้มีการทำนายเกี่ยวกับดวงบ้านดงเมืองเอาไว้ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับบ้านเมืองเป็นระยะเวลาเจ็ดปีเจ็ดเดือนซึ่งที่พระองค์ทำนายแบบนั้น

เนื่องจากว่าในวันที่มีการนำเสาหลักเมืองลงหลุมในขณะที่กำลังจะเอาดินกลบหน้าอยู่นั้นมีงูสี่ตัวได้เหลื้อยลงไปในหลุมดังกล่าว

 แต่ไม่สามารถนำขึ้นมาได้จึงต้องปล่อยให้งูทั้งสี่ตัวอยู่ในหลุมนั้นแล้วก็เอาดินฝังปลุกทำให้หมูทั้งสี่ตัวไม่ได้ขึ้นมาข้างบนอีกเลยแล้วมันตราอยู่ตรงก้นหลุมซึ่งเหตุการณ์ที่รัชกาลที่หนึ่งทำนายไว้เกี่ยวกับเรื่องเจ็ดปีเจ็ดเดือนนั้นก็ตรงกับช่วงที่ประเทศไทยมีศึกสงครามกับพม่าพอดีซึ่งเป็นช่วงรพพม่าเก้าทับและประเทศไทยก็หมดยุคสงครามหลังจากที่ครบเจ็ดปีเจ็ดเดือนพอดีในช่วงสมัยรัชกาลที่สี่เสาหลักเมืองเดิมมีการชำรุดสุดโทรมพระองค์จึงได้มีการสร้างเสาหลักเมืองใหม่อีกครั้ง

โดยนำไม้สักมาเป็นแกนตรงกลางแล้วนำไม้ชัยพฤกษ์มาประกอบด้านนอกรวมทั้งยังมีการสร้างศาลหลักเมืองขึ้นมาอีกด้วยและนับตั้งแต่นั้นมากรุงเทพมหานครก็มีเสาหลักเมืองสองต้นโดยจะเห็นว่าเสาหลักเมืองต้นเดิมจะสูงกว่าเสาหลักเมืองของใหม่

และในปัจจุบันประชาชนไม่ว่าจะเป็นคนกรุงเทพหรือต่างจังหวัดหากมีโอกาสผ่านมาที่ศาลหลักเมืองแห่งนี้ก็จะพากันมากราบไหว้ขอพรให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญซึ่งปัจจุบันเราสามารถเข้าไปไหว้เสาหลักเมืองของจริงได้แต่ทางเจ้าหน้าที่จะห้ามนำทองไปปิดแต่จะมีการสร้างเสาหลักเมืองจำลองเพื่อให้ประชาชนนำทองไปปิดได้ปัจจุบันที่ศาลหลักเมืองนั้นนอกจากจะมีเสาหลักเมืองแล้วยังมีพระพุทธรูปองค์อื่นๆอีกมากมายอาทิเช่นพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองประดิษฐ์ฐานอยู่ที่ศาลหลักเมืองเพื่อให้ประชาชนมากราบไหว้

2ที่สิ่งปริศนาที่ไม่มีคำตอบ

ม้วนเอกสารทองแดง

ซึ่งเอกสารม้วนทองแดงนี้มันได้ถูกค้นพบที่ด้านหลังของถ้ำที่ไกล้กับทะเลเดดซี โดยนักโบบราณคดีและในสไตล์การเขียนของนักเขียนภาษาและเนื้อหานั้นก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนและเมื่อมันที่ได้ถูกพบในปี1955ตัวทองแดงนั้น

ได้เป็นสนิมและสึกกร่อนมากจึงต้องถูกตัดออกเป็นแท่นประมาณแค่23เซนก่อนที่จะได้นำเอามาต่อกันอีกรอบทันทีที่ตัวอักษรสามารถที่จะมองเห็นและสามารถอ่านได้จากนั้นนักวิจัยก็จะได้เริ่มที่จะแปลภาษาฮินดูจากนั้นพวกเขาก็ต้องทึ่งเมื่อพบกับสิ่งที่ทำให้พวกเขานั้นทึ่งเพราะว่ามันเป็นรายชื่อที่บ่งบอกเกี่ยวกับสมบัติ

และที่ตั้งของสมบัติเอาไว้และปปัญหาเดียวก็คือเส้นทางที่จะพาไปที่มหาสมบัติที่มีมูลค่ารวมกว่า3,200,000นี้ผู้เขียนเขารู้แค่เพียงบริเวณที่ไกล็เคียงที่เราควรที่จะมองหาแค่เท่านั้นและด้วยความที่ไม่มีจุดเริ่มต้นการทำความเข้าใจในข้อความจึงเป็นการยากมากและสำหรับการบันทึกนี้ก็ได้ปลุกเหล่านักล่าสมบัติจากทั่วโลก

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและใครจะไปรู้เหล่าว่าสมบัตินั้นมันจะยังมีอยู่ที่เดิมหรือว่ามันจะไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรกแล้วแน่นอนและว่าจะต้องทำให้เหล่านักล่าสมบัติพวกนี้ต้องออกตามหากันอย่างแน่นอนแต่มันจะมากแค่ไหนซึ่งผู้เขียนนั้นเขาก็ให้รายละเอียดรอบๆที่เราอยากจะให้รู้เพียงเท่านั้นเองและที่หลงเหลืออีกมหาสารนั้นมันอยู่ที่ใดและไม่ได้มีการเขียนบันทึกเอาไว้บนแผนทองแดง

นครคาลาฮารีที่สาบสูญ

สำหรับบนโลกแห่งนี้ก็ยังมีนครที่ยังหายสาบสูญมากกว่าที่เรานั้คิดเอาไว้แต่หนึ่งในปรึศนาที่ลึกลับที่สุดก็น่าจะเป็นที่เมืองแห่งนี้ควบคลุมพื้นที่มากกว่า500,000ตารางกิโลเมตรได้ตั้งอยู่ในสะวันน่าช่วงปลายศตวรรษที่19Guillermo Farini เป็นนักไต่เชือกชื่อดังวางแผนการเดินทางจากแคปทาวในแอฟริกาใต้ไปตามเรื่องที่ชาวบรูแมนคนหนึ่งได้เหล่าให้เขาฟัง

และในหนังสือของเขาเองที่มีชื่อเรื่องว่าTHROUCH THE KALAHARI DESERT เขาก็ได้เขียนวิธีรายละเอียดที่เขานั้นได้ค้นพบหนึ่งในนครที่สาบสูญในบลูแมนเขาก็ยังได้บอกเอาไว้ว่าได้มีก้อนหินขนาดใหญ่วางซ่อนกันอยู่ในพื้นที่รูปโค้งและทางที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ทรายและปัญหาที่เกี่ยวกับการค้นพบนี้ก็คือไม่มีใครสามารถระบุตำแหน่งได้อีกเลยตั้งแต่นั้นมาหรือจริงๆแล้วมันเป็นแค่เพียงเรื่องบอกเล่าของภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่ดูเหมือนเป็นนครหรืออารยธรรมโบราณที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ทะเลทราย