คลังเก็บหมวดหมู่: ตำนาน

นิงเง็นได้ถูกค้นพบจริงหรือไม่?

หลังจากที่ได้มีการสำรวจหน้าน้ำแอตแลนติกใต้อยู่หลายๆครั้งก็เริ่มมีลูกเรือคนอื่นๆพบเจอกับเจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดคนนี้ด้วยและแต่ละคนก็ได้พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดตัวนี้มันได้โพล่ออกมาให้เห็นและเขาได้เห็นว่ารูปร่างของเขานั้น

มันได้ตรงกับลูกเรือคนแรกที่เขาได้บอกเอาไว้เลยและที่เขาได้เห็นมากกว่านั้นก็คือ สิ่งมีชีวิตตัวนี้มันไม่ได้มีเพียงแค่ใบหน้าไม่ได้มีแค่แขนไม่ได้มีแค่มือแต่สิ่งมีชีวิตตัวนี้มันหางเป็นครีบ ซึ่งตรงนี้มันเลยทำให้คนหลายๆคนก็เริ่มที่จะเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตประหลาดอยู่ที่ทะเลแอตแลนติกใต้จริงๆ

และหลังจากนั้นก็เริ่มมีการออกสำรวจมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆและมีการค้นพบเจออะไรประหลาดๆอยู่หลายๆครั้ง ซึ่งหนึ่งในการค้นพบเจอชัดเจอมากที่สุดและมีหลักฐานคงอยู่นั่นก็คือภาพถ่ายจากกูเกิลอาร์ต โดยภาพถ่ายจากกูเกิลอาร์ตตรงนี้ตามข้อมูลแล้วเขาได้บอกเอาไว้ว่าได้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กูเกิลอาร์ตได้ถ่ายติดอะไรบางอย่างอยู่ที่บริเวณน้ำแข็งแอตแลนติกทางตอนใต้

ซึ่งในตอนแรกที่เขาได้มีการสังเกตเห็นกันเขาได้คิดว่ามันเป็นเพียงแค่ภูเขาน้ำแข็งที่มีรูปร่างประหลาดพอซูมเข้าไปใกล้ๆจริงปรากฏว่ามันเป็นลักษณะเหมือนแขนยื่นออกมาจากเจ้าสิ่งๆสิ่งนั้นด้วย ซึ่งตรงนี้มันได้ตรงกับการให้การเรื่องของ นิงเง็น ของลูกเรือที่พบเจอเลยและสถานที่ที่พวกเขาได้พอเจอนั้นมันได้เป็นสถานที่เดียวกันกับที่กูเกิลอาร์ตนั้น

ถ่ายเอาไว้ได้อีกด้วย ซึ่งตรงนี้มันค่อนข้างที่จะน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่เรื่องภาพหลุดของกูเกิลอาร์ตตรงนี้มันก็หลุดออกมาเพียงได้ไม่นานอยู่ดีๆหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับภาพกูเกิลอาร์ตที่ถูกถ่ายได้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตปริศนาตัวนี้มันก็ได้ถูกลบออกไปจากกูเกิลอาร์ตคล้ายๆกับการที่เอาภาพๆนั้นออกไป

โดยที่เกิดขึ้นเลย ซึ่งตรงนี้หลายๆคนก็ได้ตั้งข้อสงสัยว่านี่มันอาจจะเป็นการปกปิดความลับหรือเปล่าเพราะว่าจากที่เราได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาแล้วปรากฏว่ามันได้มีข้อมูลของคนที่ได้พบเจอเขาได้บันทึกข้อมูลเอาไว้ว่าหลังจากที่ข่าวนิงเง็นเริ่มดังขึ้นอยู่ดีมันก็ได้มีหนังสือจากทางเบื้องบนได้

ส่งมาถึงและสั่งให้ลบข้อมูลและทำลายข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตปริศนาตัวนี้รวมถึงโครงการค้นหาและการวิจัยก็โดนสั่งให้ยุติและยุบลงทั้งหมดเลย ซึ่งในข้อมูลตรงนี้ทีแรกเราก็ไม่เชื่อแต่พอเราได้ไปหาข้อมูลในกูเกิลของประเทศญี่ปุ่นปรากฏว่าเรื่องของนิงเง็นนั้นมีอยู่น้อยมาก

 

สนับสนุนโดย  entaplay th

สำหรับเรื่องราวของมังกรมีจริงหรือไม่?

วันนี้เราจะมาพูดต่อในเรื่องราวของไดโนเสาร์ที่ได้ถูกล้ำลือกันว่าเป็นมังกรกันเราจะย้อนกลับไปดูเรื่องราวของฟอสซิลมังกรว่ามีใครได้พบเจอมันหรือเปล่าสรุปสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้พบเจอฟอสซิลของมังกร ซึ่งมันก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกับสัตว์ที่ได้มีปีกอย่างสัตว์พวกนกที่ได้มีการพบซากฟอสซิลน้อยมากเพราะว่านกนั้นมันสามารถบินได้มันสามารถหนีออกจากสถานการณ์เลวร้ายได้ง่ายกว่าสัตว์ที่เลื้อยชนิดอื่นๆ

มีบันทึกการพบเห็นมังกรในยุคใหม่ในศตวรรษที่15ได้มีคนปีนเขาและได้ตกลงไปในปากถ้ำบนเทือกเขาคาร์เพเทียนจากนั้นก็ได้มีการส่งทีมเข้าไปช่วยเหลือตำรวจก็ได้พบศพถูกแช่แข็งและซากสัตว์ที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนพวกเขาได้ตั้งห้องแลปชั่วคราวในบ้านกลางป่าและขอให้นักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ลอนดอนให้ได้เข้าไปช่วยตรวจสอบเบื้องต้น

ก่อนที่จะขนย้ายนำเอามาเก็บรักษาเข้าไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลอนดอนในภายหลัง สิ่งที่พบนั้นได้เป็นสัตว์เลื้อยคานมีระยางอยู่สามคู่ระยางก็คือส่วนที่มันได้ยื่นออกมาจากร่างกายที่ดูคล้ายกับเขาเท่ากับมีสี่ขาลักษณะกล้ามเนื้อมีการใช้งานทุกขาแปลว่าสัตว์ชนิดนี้เดินด้วยสี่เท้ามีกรงเล็บของใหญ่เอาไว้ใช้สำหรับในการล่าเหยื่อและได้เอาไว้เป้นอาวุธป้องกันตัวมีหางยาวเกือบเท่าความยาวจากหัวถึงโคลนหางปลายหางได้เป็นรูปลูกศรคาดว่าน่าจะใช้เป็นอาวุธและช่วยในการบังคับทิศทางในการบินปีกทั้งสองข้างได้

มีลักษณะเป็นพังผืดที่คล้ายปีกค้างคาวแต่การที่สัตว์ใดๆก็ตามจะบินได้นั้นก็จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ที่จะยกได้ของปีกความกว้างและความยาวของปีกกับน้ำหนักตัวและด้วยความว่าที่สัตว์ตัวนี้นั้นได้มีความยาวราว6เมตรและมีน้ำหนักตัวราวประมาณ400กิโลกรัมถ้าประมาณจากขนาดที่ได้เห็นนั้น

ทางนักวิทยาศาสตร์จึงได้สรุปและได้เห็นกันแล้วว่ามันได้มีน้ำหนักตัวที่มากเกือบไปปีกที่มีไม่สามารถที่จะยกตัวมันให้ตัวของมันได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าได้และในส่วนของอวัยวะภายในหัวใจมีขนาดใหญ่และได้มีสี่ห้องมีระบบไหลเวียนโลหิตที่ทรงพลังสามารถดึงเลือดและออกซิเจนปริมาณมากเอาไปเลี้ยงกล้ามเนื้อทั่วร่างกายในเพียงในระยะเวลาสั้นๆและต่อเนื่องและในความเป็นไปได้ที่ได้เชื่อกันว่าสัตว์นี้คล้ายมังกรได้มีวิวัฒนาการมาจากมังกรทะเลมัน

จึงเป็นไปได้ว่าเลือดมังกรมีโปรตีนชนิดพิเศษเหมือนที่ได้มีปลาทะเลในน้ำลึกมันอาจจะช่วยทำไม่ให้เลือดแข็งตัวจากความเย็นทำให้สามารถอาศัยอยู่ในบนภูเขาสูงๆในถ้ำน้ำแข็งหรือในพื้นที่ที่ได้มีสภาพอากาศหนาวเย็นได้โดยที่ไม่แข็งตายไปก่อน

 

สนับสนุนโดย  entaplay ดาวน์โหลด

ตำนานผีจ้างหนังแห่งป่าคำชะโนดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่อวที่แต่งขึ้น?

เวลาเราพูดถึงเรื่องตำนานความเชื่อต่างๆต้องขอบอกเลยว่าประเทศไทยเราได้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเรื่องของความเชื่อยู่เยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อชีวิตหลังความตายนกรมีอยู่จริงหรือไม่หรือสวรรค์มีอยู่จริงหรือเปล่าหรือแม้แต่เรื่องของมนต์ดำของขลังไสยศาสตร์ต่างๆก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องในตำนานประเทศไทยเรานั้นถูกพูดถึงกันอยู่มากมายเลย

แต่มันจะมีอยู่หนึ่งความเชื่อที่โด่งดังที่ติดอันดับต้นๆที่มีคนไทยพูดถึงกันมาที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยนั่นก็คือเรื่องของตำนานเรื่องของพญานาคนั่นเอง ซึ่งตำนานของพญานาคที่เราได้พูดถึงตรงนี้มันก็ยังได้มีอยู่อีกหลากหลายตำนานทั่วประเทศไทยเลยแต่ ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับพญานาคที่โด่งดังมากที่สุดในประเทศไทย

จะอยู่ที่ป่าคำชะโนด โดยตำนานพญานาคในป่าคำชะโนดที่เราได้พูดถึงตรงนี้เขาได้มีความเชื่อกันว่าป่าคำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ที่มีพญานาคได้อาศัยและได้ปกปักรักษาอยู่และป่าคำชะโนดศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เปลี่ยนเสมือนเป็นเกาะลอยน้ำเลยก็ว่าได้เพราะเวลาที่น้ำลดลงในช่วงฤดูแร้งเกาะก็จะยุบตัวลงแต่พอเวลาฤดูน้ำหลากเกาะมันกลับไม่จมสู่ใต้น้ำเกาะแห่งนี้กลับลอยขึ้นมาเหนือน้ำอย่างน่าเหลือเชื่อ

แต่ที่สำคัญเลยก็คือว่ากันว่าเกาะคำชะโนดเป็นที่ไปมาหาสู่ระหว่างโลกมนุษย์กับเกาะที่อยู่ใต้บาดานที่ได้มีพญานาคอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งตรงนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่า “มันได้เป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆ” ที่เราได้เก็บเอามาเท่านั้นเพราะเรื่องราวเหล่านี้เราไม่ได้เจาะลึกเข้าไปที่ป่าคำชะโนดหรือเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคในป่าแห่งนี้แต่เราจะเจาะลึกลงไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าคำชะโนดแห่งนี้ที่โด่งดังพอๆกับเรื่องของพญานาคเลย

ซึ่งเรื่องๆนั้นนั่นก็คือตำนานผีจ้างหนังแห่งป่าคำชะโนดนั่นเองโดยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าของโรงหนังกลางแปลงเขาได้ให้การว่า เมื่อประมาณปลายปี2531ได้มีคนๆหนึ่งที่มีชื่อว่า นายจำปา ได้เข้ามาที่บริษัทจ้างหนังกลางแปลงของเขาเพื่อที่จะมาว่าจ้างให้บริษัทของเขาให้ไปฉายหนังที่หมู่บ้านวังทองของจังหวัดอุดรธานีในวันที่29มกราคม2532 ด้วยจำนวนเงินทั้งหมด4,000บาท

โดยจำนวนเงินตรงนั้นจะมีการมัดจำเอาไว้ก่อน500บาทและได้มีการตกลงกันเอาไว้ว่าจะมีการฉายหนังอยู่4เรื่องด้วยกันคือ เรื่องบ้านผีปอบ ทอง4 ศาลปืน และ หนังสงครามฝรั่งสมัยก่อน ซึ่งพอถึงเวลาวันนั้นทางบริษัททางโรงภาพยนตร์หนังก็ได้จัดพนักงานเจ็ดคนกับรถฉายหนังหนึ่งคันไปในสถานที่ที่ได้กำหนดเอาไว้ปรากฏว่าไปถึงหน้าหมู่บ้านพนักงานก็ได้เจอคนยืนอยู่หน้าหมู่บ้านหมู่บ้านวังทองที่จ้างหนังไปทางไหนปรากฏว่าเขาเป็นคนที่จ้างให้ไปยังสถานที่แห่งนั้นนั่นเอง

 

ขอขอบคุณ  entaplay line  ที่ให้การสนับสนุน

ตำนานเด็กสาวโบว์เขียวในโรงเรียนรัฐบาล 

เรื่องเล่าของตำนานผีบัวเขียวนั้นเป็นตำนานอันโด่งดังของโรงเรียนรัฐบาลที่ 1 ซึ่งโรงเรียนรัฐบาลที่เราจะกล่าวถึงนี้เป็นโรงเรียนรัฐบาลที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัดอ่ะห่างไกลจากกรุงเทพฯโดยโรงเรียนรัฐบาลนั้นส่วนใหญ่เราจะเคยได้ยินกดกันว่าจะต้องผูกโบว์สีน้ำเงินหรือไม่ก็จะออกเป็นสีดำโดยนี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นกฎเหล็กของโรงเรียนรัฐบาล

ในทีเดียวไม่มีนักเรียนคนไหนที่จะฝ่าฝืนกฎข้อนี้เลยสักครั้งแต่ณโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งได้มีเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเธอนั้นจะใส่โบว์สีเขียวและว่าเธอนั้นจะถูกคุณครูดุด่าว่าตีมากแค่ไหนเธอก็ยังคงไม่เปลี่ยนนิสัยและยังคงฝ่าฝืนกฎการผูกโบว์สีเขียวเสมอทำให้พ่อแม่และคุณครูคิดว่าต่อให้ตักเตือนไปนั้นเด็กสาวคนนี้ก็คงไม่เชื่อฟังจึงเลือกที่จะตักเตือนไปตลอดกาลเลยปล่อยให้เด็กสาวคนนี้นั้นทำผิดกฎโรงเรียนไปและมีอยู่วันหนึ่งที่เด็กสาวนั้น

เข้าไปเรียนในห้องวิทยาศาสตร์เธอนั่งอยู่หลังห้องกำลังตั้งใจเรียน โดยอยู่ๆนั้นพัดลมเริ่มมีเสียงดังก๊อกแก๊กแต่ช่วงเวลานั้นก็หมดค่าพอดีทำให้เด็กสาวจึงรีบวิ่งออกจากห้องด้วยความกลัวผ่านไป 1 ปีห้องนั้นก็เริ่มมีความเก่าลงแต่เด็กสาวก็ยังจำเป็นที่จะต้องไปเรียนวิทยาศาสตร์ในห้องน้ำอยู่ดีเธอก็กลับไปที่ห้องเรียนอีกครั้งและก็ไปนั่งที่หลังห้องในระหว่างที่เรียนอยู่อยู่ๆพัดลมที่อยู่ตรงหัวของเด็กสาวก็ ลงมาทับร่างของเธอทำให้ร่างของเธอนั้นบดละเอียดเป็นภาพที่น่าสยดสยองต่อคุณครูและนักเรียนทั้งหลาย

ซึ่งสมัยตอนที่เธอเพิ่งตายใหม่ๆนั้นเรื่องรักเขาเธอก็กลายเป็นข่าวลืออันโด่งดังมากของทั้งโรงเรียนไม่ว่าจะเดินไปซอกมุมไหนก็จะเห็นนักเรียนและคุณครูส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องของเธอกันทั้งนั้นแต่เมื่อผ่านไปประมาณ 2-3 ปีเรื่องของเธอนั้นก็ค่อยๆถูกลืมไปจะไม่ให้ใครรู้อีกโดยที่โรงเรียนนั้นก็ยังคงมีเพื่อนสมัยรุ่นเดียวกัน กับผู้หญิงโบว์สีเขียวยังคง เรียนอยู่ที่โรงเรียนอยู่ด้วยไม่อยู่วันนึงชื่อว่าเขานั้นก็กลับไปนั่งในห้องวิทยาศาสตร์ห้องเดิม

โดยมีคุณครูคนใหม่ได้เข้ามาในห้องพร้อมจะทำความรู้จักกับนักเรียนและตั้งโจทย์ขึ้นมาพร้อมกับถามทุกคนว่าใครตอบได้บ้างโดยไม่มีใครคนไหนสามารถตอบโจทย์ของคุณครูได้เลยคุณครูมองไปที่หลังห้องตรงจุดเก้าอี้ที่เด็กสาวตาย และพูดว่า “เธอเด็กสาวที่ผูกโบว์สีเขียวน่ะตอบคำถามได้หรือเปล่า”เมื่อเด็กๆข้างห้องได้ยินเสียงทุกคนก็หน้าซีดลงทันทีเพราะว่าตรงจุดนั้นไม่มีใครนั่งอยู่เลยและนั่นก็คือจุดที่เป็นจุดของเด็กหญิงโบว์สีเขียว

ที่ได้เสียชีวิตลงไปด้วยหลังจากที่ตั้งของเธอเกิดขึ้นไม่มีใครคนไหนที่แต่งตัวผิดระเบียบเลยทั้งนั้นทุกคนต่างผูกโบว์สีดำหรือไม่ก็สีน้ำเงินไม่มีใครเลยที่จะแต่งตัวเหมือนกับเธอด้วยเมื่อทุกคนนั้นถามถึงรายละเอียดของหน้าตาของเด็กผูกโบว์สีเขียวปรากฏว่ารายละเอียดและหน้าตานั้นกลับเป็นเหมือนกับที่รายละเอียดของเด็กสาวที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนหน้าจึงทำให้ทุกคนกลัวมากพ่อแม่ก็ต่างพาเด็กๆกันลาออกไปจนหมดจนสุดท้ายโรงเรียนนั้นก็ต้องปิดตัวลงในที่สุด

 

สนับสนุนโดย  rb88 คาสิโน

ตำนาน เขา Tsingy ที่มาดากัสการ์ 

           ที่เมืองมาดากัสการ์จะมีภูเขาภูเขาหินปูนขนาดใหญ่อยู่ทางบริเวณใกล้กับชายฝั่งทางด้านตะวันตกซึ่งภูเขาหินปูนนี้ ที่มีชื่อเรียกว่า Tsingy ซึ่งลักษณะของเขาหินปูนที่นี่นั้นจะมีลักษณะที่ไม่เหมือนภูเขาลูกไหนไหนที่เคยเจอมาก่อนแตกต่างจากภูเขาลูกอื่นอื่นเป็น อย่างมาก

เนื่องจากว่าเป็นภูเขาซึ่งมีรูปร่างแหลมคมคล้ายกับเข็มขนาดยักษ์ สำหรับตำนานเรื่องเล่าของภูเขา  Tsingy แห่งนี้ว่ากันว่าในสมัยโบราณนั้นมีสัตว์ชนิดหนึ่งเป็นสัตว์ตระกูลลีเมอร์นั่นก็คือ ซิฟาก้า ซึ่งเจ้าสัตว์ชนิดนี้อาศัยอยู่ที่มาดากัสการ์นั่นเองวันหนึ่งมันได้รับพรจากพระเจ้าซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งจันทราได้ให้พรวิเศษแก่พวกมันจำนวน หนึ่งข้อ อวยพรวิเศษที่พวกมันได้รับนั้นก็คือการที่พวกมันนั้น

จะมีสีขนที่สวยอย่างที่พวกมันนั้นต้องแสงจันทร์มีคนของมันจะประกายแวววาวมีความสวยงามคล้ายกับแสงจันทร์นั่นเอง แต่ที่สำคัญนั้นขนของพวกมันจะสามารถเรืองแสงได้ด้วยดังนั้นด้วยคุณสมบัติและพลังพิเศษนี้เองทำให้เจ้าตัว  sifaka นั้นเป็นที่โดดเด่นและไม่เหมือนใครจึงทำให้มันนั้นเกิดอันตรายได้ง่ายเพราะใครๆก็สามารถสังเกตและมองเห็นพวกมันได้ง่ายๆจากระยะไกลเลยทีเดียวแน่นอนว่าเจ้าสัตว์ sifaka นี้มันมีศัตรูคู่อาฆาตนั่น

ก็คือแมวนักล่าหรือที่คนชาวมาดากัสการ์ต่างก็เรียกชื่อมันว่า Fossa นั่นเองและด้วยความที่เจ้า Fossa ไม่ชอบเจ้า  Tsingy  พวกมันจึงถูกเจ้า Fossa กำจัดฆ่าตายจนเกือบหมด แต่ก็ยังมี Tsingy บางตัวที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้  ซึ่ง  Tsingy ได้ไปหาที่หลบภัยในบริเวณป่า ซึ่งเป็นแนวป่าหิน และแน่นอนว่าพวกมันนั้นต้องขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าแห่งจันทราอีกครั้งหนึ่งอย่างไรก็ตามด้วยความที่เทพเจ้าแห่งจันทรานั้น

เกิดความรู้สึกสงสาร Tsingy  ขึ้นมาดังนั้นจึงได้มีการเสกป่าหินซึ่งเป็นสถานที่ ที่  Tsingy พากันหลบซ่อนตัวให้กลายเป็นป่าหินที่มีลักษณะคล้ายกับเข็มยักษ์ขนาดใหญ่และที่สำคัญหินเหล่านั้นจะมีการแหลมคมเป็นอย่างมากและถ้าหากใครคิดจะมาเป็นป่าหินเหล่านี้แล้วก็จะต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษหากใครไม่ระวังก็จะตกลงมาจากความสูงของหินเหล่านี้และเสียชีวิตอย่างน่าเวทนา

ดังนั้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่นี่จึงกลายเป็นที่หลบภัยและที่อยู่อาศัยของ Tsingy นั่นเอง อย่างไรก็ตามสถานที่ที่เรามีการพูดถึงกันอยู่นี้เป็นสถานที่ที่ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าไปอยู่อาศัยได้เนื่องจากว่าจำนวนหินที่มีขนาดเยอะมากๆและหินแต่ละรูปนั้นก็อยู่ใกล้ชิดกันจนไม่สามารถมีพื้นที่ที่จะให้คนเข้าไปอาศัยอยู่ได้แต่ถ้าหากสัตว์ตัวไหนที่ต้องการหนีนักล่าและต้องการรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้แล้วก็พวกมันสามารถที่จะหนีเข้าไปในป่าแห่งนี้รับรองว่าป่าที่นี่จะปลอดภัยสำหรับพวกมันอย่างแน่นอน

 

สนับสนุนโดย  rb88

ตำนานผานางคอย

  เป็นตำนานเล่าขานของคนในจังหวัดแพร่ ซึ่งตำนานนี้เป็นเรื่องเล่าขานถึงความรักอันแสนเศร้าขององค์หญิงคนหนึ่งที่เฝ้ารอคอยคนรักให้กลับมาแม้ว่าเธอจะตายไปแล้วก็ตาม  ซึ่งตำนานนี้มีการพูดถึงองค์หญิงอรัญญานีและนายคะนองเดช ซึ่งเป็นหัวหน้าฝีพาย 

โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นมานานถึง 800 ปีมาแล้วโดยเกิดขึ้นในอนาจักรแสนหวี  เรื่องราวนั้นมีอยู่ในในครั้งหนึ่งในขณะที่องค์หญิงเสด็จประพาสทางน้ำได้เกิดเรือล่ม ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น นาย คะนองเดช ได้เป็นคนช่วยเหลือองค์หญิงให้รอดชีวิต และนับ ตั้งแต่นั้นมาทั้งองค์หญิงอรัญญานีและนายคะนองเดชต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน  และมีการลักลอบได้เสียกัน จนในที่สุดองค์หญิงอรัญญานี ก็เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น

แต่เนื่องจากว่าทั้งคู่นั้น มีฐานะที่แตกต่างกันเป็นอย่างมากทำให้พระบิดาขององค์หญิงอรัญญานี ไม่พอใจและทรงโกรธมากที่พระนางกระทำตัวเช่นนั้น  และด้วยทั้งองค์หญิงอรัญญานีและนายคะนองเดชรู้ดีว่า จะต้องถูกกีดกันความรักในครั้งนี้อย่างแน่นอนจึงได้พากันหลบหนีออกมาจากวังหวังว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

ด้วยความสงบ ซึ่งในขณะที่ทั้งคู่ต่างพากันหลบหนีออกมาจากนอกวังนั้น เหล่าทหารที่พระบิดาขององค์หญิงอรัญญานี ก็ตามไล่ล่าทั้งคู่โดยมีการยิงธนูเข้าใส่หวังว่าจะจัดการฆ่า นายคะนองเดชให้ได้ แต่โชคร้ายที่ลูกธนูนั้นพุ่งเข้าไปปักที่บริเวณหน้าอกของ องค์หญิงอรัญญานี

ดังนั้นทั้งสองพระองค์จึงได้หลบหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและในเวลาต่อมา องค์หญิงอรัญญานี ก็ได้ประสูติพระโอรสออกมา  แต่อย่างไรก็ตามองค์หญิงอรัญญานีเองก็เกิดความรู้สึกเป็นห่วงนายคะนองเดชไม่ได้ เธอกลัวว่าทหารจะตามมาเจอและอาจจะฆ่า นาย คะนองเดช เธอจึงได้ให้นายคะนองเดชหลบหนีไปก่อน ส่วนตัวของพระนางนั้นจะนั่งคอย นายคะนองเดช อยู่ในถ้ำแห่งนี้กับลูก

ทางด้านนาย คะนองเดชจึงได้หลบหนีออกไป และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา องค์หญิงอรัญญานีกก็อุ้มลูกน้อยรอ สามีอยู่ในถ้ำ แต่รอแล้วรอเล่าสามีของนางก็ไมเคยกลับมาหานางอีกเลย จนในที่สุด องค์หญิงอรัญญานีและพระโอรสก็สิ้นพระชนตายอยู่ในถ้ำแห่งนี้

โดยตอนที่สิ้นพระชนนั้นพระนางยังอยู่ในท่านั่งอุ้มลูกอยู่เลย และด้วยแรงอธิฐานขององค์หญิงอรัญญานี ทำให้ศพของพระองค์นั้นกลายเป็นหินในท่าอุ้มทารกเอาไว้ในตักและทำให้ต่อมาถ้ำแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า ถ้ำนางคอย นั่นเอง 

 

 

สนับสนุนโดย  ติดต่อ entaplay

ตำนานยุคล่าอาณานิคมของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

สำหรับสงครามที่มีผู้สูญเสียเยอะที่สุดตามที่เราได้ไปหาข้อมูลมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วมันได้มีอยู่ทั้งสิ้น5สงครามด้วยกัน โดยใน5สงครามนี้เราว่าหลายๆคนก็คงจะรู้จักกันมาบ้างและยังเคยได้ยินกันบ้างเอาเป็นว่าเราค่อนๆมาเล่าทีละสงครามกันเลยดีกว่า

โดยสงครามแรกที่ได้มีผู้สูญเสียเยอะที่สุดและได้มีการสูญเสียเยอะที่สุดคือ สงครามการยึดครามทวีปอเมริกาเมื่อประมาณปีคริสตศักราชที่1492-1691 ซึ่งในการยึดครองในทวีปอเมริกาที่เราได้พูดถึงตรงนี้ถ้าจะให้เราได้พูดและได้เข้าใจกันง่ายๆมันก็คือกาที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสที่เราได้รู้จักกันดีได้ทำการล่องเรือออกไปในทวีปต่างๆและในพื้นที่ต่างๆเพื่อที่จะยึกครองพื้นที่ในอเมริกาต่างๆเป็นของตัวเอง

ซึ่งในตอนนั้นเองในปีคริสตศักราช1492 ตามข้อมูลที่เขาได้บอกเอาไว้ว่าชาวยุโรป ซึ่งนำด้วยสองชาติมหาอำนาจจากทะเลสาบสเปและทะเลสาบโปรตุเกตที่ได้ยกขุนพลขึ้นไปที่อเมริกาใต้ได้พากันไปสำรวจบริเวณโลกใหม่และได้จับจองพื้นที่ตรงนั้นเป็นของตนเองจนได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกับชนพื้นเมืองอย่างชาวแอทแทคและชาวอินคา ซึ่งแน่นอนว่านการปะทะในครั้งนี้เราก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าชาวพื้นเมืองกับชาวยุโรป

ถึงยังไงชาวพื้นเมืองก็ไม่สามารถที่จะสู้ได้อย่างแน่นอนระหว่างปืนระยะปะชิตของชนเผ่าพื้นบ้านยังไงปืนก็มีทางชนะอย่างแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งตามข้อมูลเขายังได้บอกอีกว่าชะตาที่น่าเศร้าในครั้งนี้ยังไม่จบเป็นเพียงเท่านั้นเพราะว่าในช่วงปีคริสตศักราชปี1500อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ได้ยกพลขึ้นมาตีทางฝั่งอเมริกาเหนือและได้ทำสงครามกับชาวอินเดียแดงเผ่าต่างๆอย่างโหดร้ายถึงกับได้มีคำกล่าวของนายทหารท่านหนึ่ง

บอกว่าอินเดียแดงที่ดีก็คืออินเดียแดงที่ได้ตายไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในอดีต เมื่อประมาณ500ปีที่แล้วสรุปออกมาแล้วได้มีผู้เสียชีวิตประมาณ34ล้านคน ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจด้วยเนอะว่าในช่วงนั้นมันได้เป็นยุคในการล่าอาณานิคมและไม่ใช่ว่าอเมริกาในยุคนั้นเป็นพื้นที่เดียวที่ได้ถูกล่าอาณานิคมและยังได้มีอีกหลายพื้นที่

ที่ได้เกิดการสูญเสียพื้นที่ตรงนี้อีกมากมายเลยและผู้คนจำนวนมากต่างก็ได้ล้มหายตายจากกันไปเป็นจำนวนมากในช่วงของยุคนั้นที่ได้มีการล่าอาณานิคมของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสที่ได้ออกเรือเพื่อหาพื้นที่ต่างๆเพื่อจะยึดครองเพื่อให้ได้มาเป็นของตนในช่วงยุคสมัยนั้นอีกด้วยเช่นสกัน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  entaplay

การเล่นแร่แปรธาตุ ศิลานักปราชญ์ มันมีอยู่จริงๆหรือเปล่า

สำหรับเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุถ้าเกิดว่าให้เราพูดให้ได้เข้าใจกันอย่างง่ายๆเลยมันก็คือนักวิทยาศาสตร์ในสมัยก่อนที่ได้มีความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องว่าสิ่งของทุกๆอย่างบนโลกหรือแม้แต่ชีวิตของเราล้วนแล้วแต่ได้เกิดขึ้นมาจากธาตุทั่ง4นั่นก็คือ ดิน น้ำ  ลม และ ไฟ ได้รวมตัวกันมาจนได้เป็นสิ่งๆหนึ่งโดยที่สิ่งๆนั้นจะจะมีธาตุ4ธาตุนี้อยู่ในอันตราส่วนที่มันไม่เท่ากัน

ซึ่งถ้าเกิดว่าเราสามารถเข้าไปปรับ4ธาตุนี้ให้มันลดหรือว่าเพิ่มลงได้เขาก็จะสามารถที่จะเปลี่ยนสิ่งๆนั้นให้มันได้กลายมาเป็นอีกสิ่งหนึ่งหรือกลายเป็นสิ่งใหม่ที่มันไม่ได้มีการค้นพบมันก็อาจจะเป็นไปได้ ซึ่งหลักการที่เราได้พูดถึงกันตรงนี้ถ้าเราได้ลองฟังกันดูดีๆมันก็อาจจะคล้ายกับนักวิทยาศาสตร์ในศาสตร์ด้านของการเคมีแต่ว่านักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันกับนักที่เล่นแร่แปรธาตุในสมัยก่อนเขา

จะมีทัศนคติและมุมมองที่ต่างกันนั่นก็คือนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ศึกษาเรื่องของกฎในธรรมชาติและสิ่งที่มีชีวืตในปัจจุบันแต่นักเล่นแร่แปรธาตุเขาจะศึกษาที่ตรงกันข้ามกับนักวิทยาศาสตร์เลยนั่นก็คือก็เปลี่ยนสารทุกอย่างให้กลายมาเป็นทองได้การที่เราไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายหรือแม้แต่การสร้างสิ่งมีชีวิตจากสิ่งของที่ไม่มีชีวิตได้ก็มีอยู่เช่นกัน ซึ่งตามข้อมูลเล่นแร่แปรธาตุที่เราได้ไปค้นมาเขาได้บอกว่าข้อมูลที่เก่าแก่ที่สุด

จะอยู่ในช่วงประมาณ4พันปีก่อนคริสตกาลที่ดินแดนแทบอารยธรรมอียิปต์กับปาบีโรเนียในยุคนั้นโดยสิ่งของชิ้นแรกที่ได้ถูกแปรธาตุออกมาได้นั่นก็คือ มอร์ต้า,Mortar หรือที่เราเรียกกันในปัจจุบันว่าปูนฉาบขาวนั่นเองและในตามข้อมูลเขายังได้บอกอีกว่าได้มีการค้นพบแก้วตั้งแต่ในช่วง1,500ด้วยนั่น

ก็แปรว่าอารยธรรมอียิปต์กับปาบีโรเนียในสมัยก่อนได้ให้ความสนใจกับเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุมากและได้เป็นชนชาติแรกๆที่เขาสามารถเปลี่ยนธาตุได้นั่นเอง ซึ่งตรงนี้มันค่อนข้างที่จะน่าทึ่งมากๆเลยกับในยุคนั้นที่เขายังไม่รับรู้เลยว่าวิทยาศาสตร์นั้นมันคืออะไรออกซิเจนมันคืออะไรคาร์บอนไดออกไซด์มันคืออะไรจากนั้นในระยะเวลาต่อมาหลังจากในเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุในอียิปต์ก็เริ่มที่จะโด่งดังขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ

ก็ได้เริ่มมีการเผยแผ่ความรู้ไปสู้อารยธรรมอื่นๆจนไปถึงชนชาติชาวกรีกในยุคนั้นที่เขาได้ว่ากันว่ามันได้มีความเจริญมากที่สุดมันเลยทำให้การเปลี่ยนธาตุหรือการเล่นแร่แปรธาตุได้เป็นที่นิยมและถูกเผยแผ่มาในทวีปยุโรปอย่างรวดเร็วในไม่ช้าและกลายเป็นที่นิยมกันทั่วทั้งทวีปกันเลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย  next88th

ตำนานบั้งไฟพญานาคจังหวัดหนองคาย

หากพูดถึงตำนานความเชื่อของคนในแถบทางภาคอีสานแล้วเราก็เชื่อว่าทุกคนต้องรู้กันดีว่าคนในแถบภาคอีสานนั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของสัตว์ในตำนานซึ่งเป็นสัตว์ในแม่น้ำทางแถบภาคอีสาน ซึ่งสัตว์ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั้นก็คือพญานาคนั่นเองโดยชาวบ้านนั้นมีความเชื่อกันว่าสัตว์

ดังกล่าวจะอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงโดยชาวบ้านนั้นต่างพากันเคารพนับถือพญานาคเป็นอย่างมากและชาวบ้านก็ยังมีความเชื่อกันด้วยว่าแม่น้ำโขงในปัจจุบันนี้เกิดมาจากการที่พญานาคนั้นมีการแถตัวเองให้เป็นร่องน้ำจนเกิดทำให้เป็นร่องน้ำขนาดใหญ่กลายเป็นแม่น้ำโขงในปัจจุบันนี้ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก

และยังมีตำนานเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคซึ่งการพูดถึงบังไฟพญานาคนี้พูดกันว่าจะเห็นบั้งไฟนี้ที่แม่น้ำโขงที่เดียวเท่านั้นและลักษณะของบั้งไฟพญานาคนี้ก็จะเป็นไฟสีสีซึ่งไฟสีนี้จะมีการลอยพุ่งจากแม่น้ำขึ้นไปบนในอากาศในแต่ละคืนนั้นจะมีเป็นร้อยสีและร้อยลูกเลยทีเดียวซึ่งบั้งไฟพญานาคนี้จะมีแค่เพียงปีละครั้งเท่านั้น

โดยจะมีเฉพาะในวันออกพรรษาของทุกปีในจังหวัดหนองคายนั้นหากไปนับจำนวนจุดที่เราสามารถไปดูจุดที่ไฟของพญานาคโผล่พ้นมาจากแม่น้ำได้นั้นจะสามารถนับได้จำนวนมากถึง 20 จุดเลยทีเดียวตามตำนานของจังหวัดหนองคายนั้นเชื่อกันว่าแต่เดิมทีนั้นพญานาคนั้นอาศัยอยู่ในเมืองบาดาลซึ่งแต่เดิมนั้นพญานาคมีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมากแต่เมื่อมีพระพุทธเจ้าลงมาโปรดสัตว์พญานาคเองก็มีความเลื่อมใส

ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากพญานาคจึงเลิกนิสัยดุร้ายเพราะต้องการที่จะทำการออกบวชเจ้าแต่ว่าพญานาคนั้นไม่สามารถบวชได้เพราะว่าพญานาคนั้นเป็นสัตว์ดังนั้นพระญานาคจึงได้มีการปวารณาตนเป็นพุทธมามกะและมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้านั้นต้องเสด็จไปเทศน์พระธรรมคำ

สั่งสอนให้กับพระมารดาที่บนชั้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลยใช้ระยะเวลานานประมาณ 1 พรรษาหลังจากนั้นก็เสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ซึ่งในวันนั้นตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 โดยที่พระพุทธเจ้านั้นเสด็จลงมาด้วยบันไดแก้ว  บันไดเงินและบันไดทองขึ้นบันไดเหล่านี้เป็นบันไดที่ทางเทวดาทั้งหลายนั้นทำเป็นทางเดินให้กับพระพุทธเจ้าเดินลงมายังโลกมนุษย์ส่วนด้านล่างของโลกมนุษย์นั้นชาวบ้านก็พากันทำบุญตักบาตร

และเตรียมดอกไม้ธูปเทียนไหว้บูชาพระพุทธซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้รู้ไปถึงหูของพญานาคทำให้พระยานาคนั้นต้องการที่จะแสดงความเคารพด้วยเช่นเดียวกันจึงได้ทำการจุดบั้งไฟเพื่อเป็นการแสดงการเฉลิมฉลองที่พระพุทธเจ้านั้นเสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ ซึ่งการที่พญานาคนั้นพ่นไฟเฉลิมฉลองนี้จึงเป็นพิธีกรรมที่พญานาคนั้นต้องทำเป็นประจำทุกปีและทำให้เรานั้นได้เห็นบั้งไฟพญานาคทุกปีเป็นประจำนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  entaplay mobile

ตำนานชาละวัน

      ตำนานชาละวันเป็นตำนานเกี่ยวกับจระเข้ตัวหนึ่งซึ่งเป็นพญาจระเข้อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำของจังหวัดพิจิตรซึ่งแต่ละวันนั้นมีนิสัยดุร้ายมักจะขึ้นมากินคนเป็นอาหารอยู่เป็นประจำในขณะเดียวกันนั้นที่ด้านบนฝั่งของโลกมนุษย์ในเมืองพิจิตรนั้นก็มีบ้างเศรษฐีคนหนึ่งที่มีลูกสาวแสนสวยอยู่ 2 คนที่ชื่อว่ากระเพราแก้วและตะเภาทอง

ทั้งสองสาวนั้นเป็นหญิงงามของเมืองพิจิตรที่มักจะมีหนุ่มๆนั้นมาชอบพอแต่ก็จะถูกพ่อของสองสาวนั้นคอยขัดขวางอยู่เสมอในเย็นวันหนึ่งระหว่างที่ 2 สาวตะเภาแก้วกับตะเภาทองนั้นกำลังเล่นน้ำอยู่ในคลองทางด้านชาละวันนั้นก็ได้ออกมาหาอาหารพอดีและได้ผ่านมาตรงบริเวณหน้าบ้านของตะเภาแก้วและปลาทองทำให้ได้เห็นความงามของทั้งสองสาวแต่ละวันจึงได้คาบตะเภาทองลงไปในน้ำ

เพื่อหวังจะเอาไปเป็นเมียทางด้านตะเภาแก้วนั้นสามารถว่ายน้ำขึ้นไปบนฝั่งได้หลังจากนั้นก็ไปบอกให้พ่อรู้เรื่องซึ่งชาวบ้านต่างก็พากันมาเพื่อจะช่วยเหลือตะเภาทองแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้วเพราะตะเภาทองโดนคาบลงแม่น้ำไปแล้วด้วยความโกรธเศรษฐีดังกล่าวจึงได้ประกาศไปทั่วว่าถ้าหากใครที่จะสามารถค่าเช่าชาละวันได้เขาจะยกลูกสาวที่ชื่อตะเพาแก้วให้เป็นเมีย

และยังจะมอบทรัพย์สมบัติให้อีกครึ่งหนึ่งด้วยดังนั้นจึงมีทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างก็รับอาสาที่จะพากันมาฆ่าชาละวันแต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะสามารถปราบจระเข้ยักษ์ตัวนี้ได้จนในที่สุดก็มีหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งชื่อว่าไกรทองซึ่งเขาได้บวชเรียนกับพระอาจารย์จนมีวิชาเก่งกล้าสามารถมีวิชาอาคมที่จะสามารถปราบจระเข้ได้มารับอาสาเศรษฐีเมืองพิจิตรเพื่อจะทำการปราบจระเข้ชาละวันและแน่นอนว่าด้วยวิชาอาคมที่เขาร่ำเรียนมาในที่สุดเขาก็สามารถปราบจระเข้ชาละวันได้

อีกทั้งยังสามารถใช้วิชาอาคมเปิดน้ำให้เป็นทางเดินและไปที่ถ้ำของชาละวันเพื่อไปช่วยเหลือตะเภาทองขึ้นมาจากถ้ำได้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเศรษฐีก็ได้ยกลูกสาวทั้งตะเภาแก้วและตะเภาทองให้แต่งงานกับไกรทองรวมทั้งยกทรัพย์สมบัติอีกครึ่งหนึ่งให้และทั้งหมดก็อยู่ด้วยกันในจังหวัดพิจิตรอย่างมีความสุขเรื่อยมา

ซึ่งปัจจุบันนี้จังหวัดพิจิตรนั้นจะมีการสร้างรูปปั้นจระเข้ขนาดใหญ่เอาไว้หักใครได้ไปเที่ยวจังหวัดพิจิตรก็มักจะเห็นว่าตามสถานที่ต่างๆนั้นมักจะมีรูปปั้นของจระเข้อยู่เนื่องจากว่าจระเข้นั้นเปรียบได้กับเหมือนสัญลักษณ์ของจังหวัดพิจิตรไปแล้วนั่นเองอย่างไรก็ตามตำนานเรื่องของแต่ละวันนี้มีการเล่าขานกันสืบต่อมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษแล้วและปัจจุบันนี้ถ้าหากเราไปเที่ยวเมืองพิจิตรตำนานเรื่องนี้ก็ยังคงมีเล่าขานให้ลูกหลานได้ฟังอยู่นั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  entaplay casino