คลังเก็บหมวดหมู่: ตำนาน

อุกกาบาตตกมายังโลกของเราจะเกิดอะไรขึ้น?

ถ้าหากจะให้เราอธิบายให้เราได้เข้าใจง่ายๆเลยว่าคุณลองนึกภาพตามเราปกติระบบสุริยะจักรวาลเราจะมีดวงดาวทั้งสิ้น11ดวงรวมดวงอาทิตย์เป็น12และในระหว่างดวงดาวหรือเส้นทางการโคจรในแต่ละดาวมันก็ยังมีดาวเคราะห์เล็กๆน้อยๆเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นดวงอีกเยอะแยะมากมาย

ซึ่งดาวเคราะห์เล็กๆน้อยๆตรงนี้มันได้เกิดการชนกันหรือเฉี่ยวกันตลอดเวลาพอมันเกิดกันชนกันมันก็เกิดการแตกกระจายและไอพวกเศษดวงดาวที่มันได้แตกกระจายมันก็ได้หลุดออกจากวงโคจรของมันอย่างในกรณีของโลกถ้าเราเอาตามข่าวเขาบอกว่ามันได้เกิดจากดาวเคราะห์น้อยสองลูกได้ชนกัน

และเศษของดาวเคราะห์น้อยมันก็ได้หลุดเข้ามาในวงโคจรของโลกแต่หลังจากที่เขาได้คำนวนแล้วเขาคาดการณ์แล้วยังไงมันก็ยังไม่มีทางชนโลกอย่างแน่นอนทางนาซาเขาก็เลยออกหนังสือมาให้มาเชิญชวนให้ใครหลายๆคนมาดูดาวตกกันเพราะเหตุการณ์แบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นมาบ่อยๆ

แต่ถ้าเกิดสมมุติว่ามันมีกรณีที่เศษดาวเคราะห์มันได้กระเด็นเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศโลกและมันมีสิทธิ์ที่จะตกไปยังโลกและเขาก็จะมีการคำนวนอย่างที่เราได้บอกไปและจะบอกว่ามันก็ยังได้มีอีกสองกรณีที่เราจะต้องคิดกันอย่างแรกเลยคือมันจะต้องผ่านชั้นบรรยากาศโลกอย่างแน่นอนและชั้นบรรยากาศโลกของเราหลักๆเลยมันจะมีอยู่ประมาณ5ชั้นและกว่ามันจะผ่าน5ชั้นอธิบายให้เข้าใจง่ายๆมันจะต้องถูกการเผ่าไหม้

จากลูกใหญ่ๆที่เราคาดการที่เราเห็นกันในอวกาศถูกเผ่าไหม้มันก็จะคดเล็กๆลงถ้ามันถูกเผ่าไหม้จนหมดมันก็จะกลายเป็นแสงสวยๆบนฟ้าสิ่งนั้นเราเลยเรียกมันว่าดาวตกแต่ถ้าเกิดในกรณีที่อุกกาบาตมันลูกใหญ่มากถูกชั้นบรรยากาศได้เผ่าผลาญลงไปเรื่อยๆและมันยังเหลือลูกเล็กๆอยู่จนตกมาอยู่ที่พื้นเขาจะเรียกมันว่าอุกกาบาตราจะต้องแยกสองคำนี้ระหว่างดาวตกกับอุกกาบาต

ซึ่งเหตุการณ์อุกกาบาตตกมาบนโลกหรือเหตุการอุกกาบาตชนโลกเอาจริงๆมันพึ่งจะเกิดขึ้นมาล่าสุดนี้เอง เมื่อปี2008ที่ผ่านมาและในเหตุการณ์อุกกาบาตเมื่อปี2008ในยุคนั้นเขาก็มีเทคโนโลยีที่มันสามารถคาดการณ์ของการตกอุกกาบาตได้แล้วแต่เทคโนโลยีในยุคนั้นสามารถคาดการณ์ได้เพียงขอบเขตของการมองเห็นของโลกหรือตามศัพท์วิทยาศาสตร์เขาจะเรียกว่า Near Earth Objects ซึ่งถ้าตามข้อมูลที่เราได้มาเขาได้บอกว่าถือว่าโชคดีมากๆในยุคนั้นเพราะว่าอุกกาบาตได้ตกลงไปในทะเลทรายแทบทวีปอเมริกาที่ตรงนั้นไม่มีผู้คนอยู่เลยและไม่เกิดความเสียหายอะไรมากมาย

 

สนับสนุนโดย  rb88 ล็อกอิน

การหายไปของLisanne Froon

การหายไปของLisanne FroonและKrisKremersหลังจากเรียนจบ

เด็กสาววัยรุ่นชาวฮอลแลนด์2คนที่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับภายในป่าของประเทศPanamaต่อมาในภายหลังทางด้านเจ้าหน้าที่ที่ได้ค้นพบข้าวของเครื่องใช้และได้มีชิ้นส่วนอวัยวะของพวกเธอและนอกจากนั้นในกล่องถ่ายรูปของพวกเธอนั้นมันยังได้มีภาพถ่ายที่มันดูแปลกๆอีกมากมายที่มันไม่สามารถอธิบายได้และมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอกันแน่

สำหรับLisanne FroonและKrisKremers ซึ่งเธอทั้งสองคนนี้เขาได้เป็นเพื่อนกัน ซึ่งพวกเธอสองคนนี้ก็ได้เกิดและได้เติบโตขึ้นมาภายในประเทศฮอลแลนด์จากนั้นเธอทั้งสองคนทั้งคู่นั้นก็ได้หายตัวไปในช่วงระหว่างกำลังจะเดินทางอยู่ภายในป่าที่พวกเขานั้นได้อยู่ภายในประเทศPanama เมื่อประมาณ2014

หลังจากที่เธอทั้งคู่นั้นที่ได้หายตัวไปแล้วทางด้านตัวLisanne Froonเธอนั้นได้มีอายุประมาณ22ปีเศษและKrisKremersเธอได้มีอายุเพียง21ปีเท่านั้นหลังจากนั้นมาทางเจ้าหน้าที่ที่ได้เข้าไปทำการตรวจค้นทางเจ้าหน้าที่เขาก็ได้พบข้าวของเครื่องใช้และชิ้นส่วนที่ดูเหมือนว่ามันเป็นชิ้นส่วนของพวกเธอทั้งคู่หลังจากนี้ก็ยังไม่พบร่องรอยที่จะบ่งบอกในการตายของพวกเธอทั้งคู่กันเลย หากเราได้ย้อนกลับไปก่อน

ที่KrisKremersและKrisKremersที่พวกเธอนั้นจะหายตัวไปหลังจากช่วงที่เธอทั้งสองนั้นก็พึ่งจะเรียนจบมาใหม่ๆพวกเขาทั้งคู่นี้ก็ได้จัดทริปเพื่อที่วางแผนที่จะเข้าไปท่องเที่ยวที่ประเทศปานามา เนื่องจากได้เป็นประเทศที่มันได้อยู่ทางฝั่งทวีปอเมริกากลางรวมทั้งสิ้น6สัปดาห์ด้วยกัน

และที่สำคัญที่มันได้ทำให้พวกเธอทั้งคู่นั้นอยากจะออกทริปนี้นั่นก็คืออยากไปเที่ยวหลังจากที่พวกเธอทั้งสองคนนี้พึ่งจะเรียนจบกันมาใหม่ๆทั้งนี้ทั้งคู่เองพวกเธอก็ยังได้มีความคิดที่อยากจะเป็นครูจิตอาสาในการสอนภาษาของเด็กและยังได้เรียนภาษาสเปนเนื่องจากว่ามันได้เป็นภาษาของทางราชการด้านประเทศ

ปานามาKrisKremersและKrisKremersพวกเธอทั้งคู่นั้นก็ได้เริ่มออกเดินทางจากประเทศฮอนแลนด์ในวันที่15เดือนมีนาคม ในปี2014 หลังจากนั้นพวกเขาก้ได้ใช้ระยะเวลาในการท่องเที่ยวเพียงแค่2สัปดาห์ที่ประเทศปานามาก่อนหลังจากนั้นพวกเธอก็ได้เดินทางไปที่เมืองBoquete

เพื่อพวกเธอทั้งสองนั้นจะได้อยู่กับโฮสต์แฟมิลี่ช่วงเลาประมาณ4สัปดาห์ด้วยกันจากนั้นเมื่อพวกเธอได้เข้าไปถึงที่พักของโฮสต์แฟมิลี่ตามหลักแล้วพวกเธอนั้นจะต้องเริ่มสอนหนังสือให้กับพวกเด็กๆและในวันที่พวกเธอนั้นจะต้องเข้าไปทำการสอนเด็กๆนั้นมันได้ถูกเลื่อนออกไปมันก็เลยทำให้พวกเขาได้มีเวลาประมาณ1สัปดาห์เต็มๆ

ในเดือนเมษายนประมาณ11โมงเธอทั้งคู่ก็ได้คุยกับเพื่ออยากท่องเที่ยวในป่าและป่าที่พวกเธอจะไปเดินนั้นมันก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่มันอยู่ใกล้ๆบ้านของพวกเธอนั้นแหละและป่าแห่งนี้มันก็ยังได้มีชื่อว่าEl Pianista มันได้เป็นป่าที่มันได้อยู่ในพื้นที่เขตของภูเขาไฟBaru

 

สนับสนุนโดย  betbb

คำยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์เรื่อง เดจาวู 

สำหรับทฤษฎีคิดไปเองของเดจาวู  ซึ่งโดยตามหลักของนักวิทยาศาสตร์แล้วที่เขาได้มีการบอกเอาไว้ว่าในสมองของมนุษย์คนเรามันก็เปรียบได้เหมือนกับเครื่องจักรกล

ซึ่งในบางที่มันก็อาจจะมีอาการเบอลหรือว่ามีอาการช็อดมันก็อาจจะมีอยู่บ้างซึ่งมันก็เลยอาจจะทำให้ในหัวของมนุษย์เรานั้นก็อาจจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้เราเคยมากที่แห่งนี้เราได้เคยพบเจอในสมัยอดีตมาแล้วแต่สมองของเรานั้นมันกับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างอะไรประมาณนี้ถ้าถ้าจะเอาง่ายๆก็คือ คิดไปเอง

และสำหรับไอคำว่าเดจาวูนั้นมันก็ได้มีหลักฐานในการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วซึ่งเมื่อกี่มันเป็นแค่เพียงทฤษฎีเฉยๆ โดยเบื้องต้นเขายังได้กล่าวเอาไว้อีกว่าในการไหลเวียนของคลื่นที่มันได้อยู่ในสมองของมนุษย์คนเรานั้นมันได้มีความผิดปกติมันก็เลยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาที่เราเรียกมันว่า เดจาวู

แต่ทีนี้เขาก็ยังได้เขียนเป็นลายลักอักษรว่า อาการของสมองลวนนั้นมันได้เกิดขึ้นมาจากออะไรกันแน่ ซึ่ง เดจาวู นั้นมันได้เกิดขึ้นสมองกับดวงตาของมนุษย์เรานั้นมันเกิดมีการทำงานที่ไม่ประสานกันถ้าจะให้เรานั้นได้พูดตามหลักของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ซึ่งมนุษย์ของเรานั้นจะมีลูกตาอยู่สองข้างนั่นก็คือตาซ้ายกับตาขวาและในส่วนของสมองเรานั้นมันก็จะมีซีกซ้ายกับซีกขวาถ้าหากสมมุตอว่าเราได้มองสิ่งๆ

หนึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางที่คนๆเดียวที่จะใช้ตาขวามองสิ่งนี้ใช้ตาซ้ายมองสิ่งนี้ซึ่งมันจะเป็นไปไม่ได้เพราะเราเป็นมนุษย์ไม่ใช่กิ่งก่าเมื่อเราได้มองสิ่งๆหนึ่งแน่นอนว่าตาซ้ายกับตาขวาเราจะมองวัตถุชิ้นนี้แล้วภาพที่เราได้มองผ่านจอประสาทตามันก็จะส่งผ่านเข้าไปที่สมองของเราโดยตาซ้ายของเรานั้นมันจะส่งภาพไปยังของสมองซีกขวาตาขวาจะส่งภาพไปยังสมองซีกซ้าย

และในการทำงานตรงจุดนี้มันเป็นการทำงานที่มันจะต้องประสานกันอยู่แล้วเพราะถ้าหากว่ามันส่งภาพช้าไปแม้แต่วินาทีเดียวมันอาจจะทำให้ความคิดในหัวของเราได้เกิดความผิดปกติสมมุติว่าสมองซีกขวาได้รับภาพมาเร็วกว่าสมองซีกซ้ายสมองซีกขวามันก็จะมีความทรงจำในหัวว่าเราได้เห็นภาพนี้มาแล้ว

โดนสมองซีกซ้ายที่ได้รับภาพช้ากว่าสมองซีกขวาแค่เสี้ยววินาทีเดียวจะมีความคิดขึ้นมาในหัวเลยว่าเราเคยมาที่นี่แล้วในตอนนั้นไม่รู้ทำไมมันถึงได้คุ้นจังเหมือนภาพมันมาในภาพเดียวแต่สมองด้านขวามันรับเร็วกว่าแต่ด้านซ้ายมันรับช้ากว่าในขณะสมองซีกขวาประมวณผลไปแล้วว่าเราได้เห็นภาพนี้ไปแล้วแต่อีกฝั่งหนึ่งบอกว่าเราพึ่งจะเห็นและนี่มันก็ได้เป็นคำยืนยันจากทางวิทยาศาสตร์สำหรับเรื่องเดจาวู

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

เยติ มันมีอยู่จริงบนโลกหรือไม่?

ถ้าถามว่าหลักฐานต่างๆว่า เยติ นั้นมันจะมีอยู่จริงหรือไม่มันค่อนข้างที่จะมีอยู่น้อยมากๆถ้าจะเอาหลักฐานที่เห็นได้เด่นชัดมากที่สุดในยุคปัจจุบันมันก็จะเป็นพวกรอยเท้าต่างๆที่ได้มีการพบเห็นไม่ว่าจะพบเห็นบนภูเขาไม่ว่าจะเป็นทั้งในป่าหรือที่ต่างๆที่คาดว่ามันน่าจะเจอ เยติ ได้และอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือเรื่องของภาพถ่ายแต่ภาพถ่ายตรงนี้

ในบางส่วนมันก็เป็นการแต่งขึ้นมาแต่ในบางส่วนมันก็ยังได้เป็นที่น่าสงสัยกันอยู่เหมือนกันเพราะในภาพถ่ายบางภาพถูกถ่ายได้จากกูเกิลเอิร์ธหลัมันก้ไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ว่าเจ้าสิ่งๆนี้ว่ามันคืออะไรและมันได้ขึ้นไปโผล่บนภูเขาหิมาลัยได้อย่างไรซึ่งตรงจุดนี้มันค่อนข้างที่มันหน้าสนใจเป็นอย่างมาก

แต่อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนในและน่าสงสัยไม่แพ้กันเลยก็คือข่าวต่างๆที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ได้มีการพูดถึงการปรากฏตัวของ เยติ และการบุกมาทำร้ายของ เยติ ซึ่งข่าวที่โด่งดังที่สุดจะมีอยู่สองข่าวด้วยกันข่าวแรกได้เกิดเมื่อประมาณปี1974 โดยในข่าวนั้นได้บอกเอาไว้ว่าได้มีเด็กผู้หญิงชาวเชปาคนหนึ่งกำลังพาจามรีไปดื่มน้ำที่ลำธานแต่อยู่ดีๆ

เธอก็ได้รู้สึกว่าเหมือนมีใครที่กำลังจองมองเธออยู่แล้วจู่ๆก็ได้มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีขนเต็มตัวบุกเข้ามาทำร้ายเธอจนเธอได้ส่งเสียงร้องดังออกมาแล้วก็ได้หมดสติไปและในเวลาต่อมาไม่นานเธอก็ฟื้นขึ้นมาปรากฎว่าจามารีของเด็กคนนี้ที่พามาดื่มน้ำทั้งหมดนั้นมันได้ตายหมดทุกตัวเลย

และที่มันได้น่าแปลกใจไปกว่านั้นเลยก็คือจามารีทุกตัวที่เด็กผู้หญิงคนนี้ได้หามาดื่มน้ำถูกบิดเขาจนผิดรูปและได้ถูกหักคอทุกตัวซึ่งตรงนี้คือเขาและที่โด่งดังมากเมื่อในปี1974และในช่วงเวลาต่อมาในปี1986ก็ได้มีอีกหนึ่งข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ เยติ โดยในข่าวเขาได้บอกเอาไว้ว่าได้มีชาวอิตาลีคนหนึ่ง

ที่ได้มีชื่อว่า Reinhold Messnerเขาก็ได้เล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งในระหว่างที่เขาได้กำลังเดินปีนเขาอบู่เขาก็ได้พบกับซากจามารีที่มีลักษณะการตายแบบเดียวกันกับเด็กผู้หญิงที่เป็นข่าวเมื่อปี1974แต่ของReinhold Messnerนั้นจะแตกต่างกัน

นิดหน่อยโดยเขาได้เล่าว่าในขณะที่เขากำลังเดินทางกลับบริเวณต้นเขาในช่วงค่ำๆเขาก็ได้เจอรอยเท้าขนาดใหญ่ที่ไม่น่าจะใช่รอยเท้าของมนุษย์ในช่วงระหว่างที่เขากำลังจะเดินทางและได้เจอเงามีชีวิตประหลาดขนาดใหญ่ที่มีขนหนาไปทั่วร่างกายอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่50เมตรเท่านั้นและยังยืนมองเขาอยู่นิ่งๆเขาก็เลยตัดสินใจรีบออกมาจากจุดนั้นแล้วก็หนีรอดออกมาได้

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์

ประวัติพื้นที่ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างหมู่บ้านลัดดาแลนด์

         ถ้าตามประวัติการสร้างหมู่บ้านลัดดาแลนด์ที่จังหวัดเชียงใหม่ตามข้อมูลแล้วคนที่นำพื้นที่ดังกล่าวมาสร้างหมู่บ้านลัดดาแลนด์นั้นก็คือคุณนายลัดดาซึ่งเธอเล็งเห็นแล้วว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่อยู่ใกล้กับทางขึ้นดอยสุเทพและน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนจะต้องพาเที่ยวกันที่นี่คุณนายลัดดาจึงได้เล็งเห็นว่า

ถ้าหากซื้อที่ดินผืนนี้มาสร้างเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จะทำรายได้ให้กับคุณนายลัดดาเป็นอย่างมากเธอจึงได้มีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และสร้างหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ชื่อหมู่บ้านลัดดาแลนด์ขึ้นมาแต่อย่างไรก็ตามตามตำนานเรื่องเล่าประวัติพื้นที่ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างหมู่บ้านลัดดาแลนด์แห่งนี้พื้นที่บริเวณนี้

เป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่ามีป่ารกชัฏดังนั้นว่ากันว่าในช่วงเวลาก่อนที่จะถูกนำมาสร้างเป็นหมู่บ้านนั้นมักจะมีคนนำศพมาทิ้งบริเวณนี้อยู่เป็นประจำไม่ว่าจะเป็นพวกโจรขโมยที่มีการฆ่าข่มขืนแล้วนำศพมาทิ้งที่บริเวณนี้หรือแม้แต่หญิงสาวที่ท้องโดยที่ยังไม่พร้อมหรือกลุ่มผู้หญิงขายบริการที่ยังไม่ต้องการมีรูปต่าง

ก็จะทำแท้งและนำซากทารกมาทิ้งไว้ที่บริเวณป่าแห่งนี้อีกครั้งยังเคยมีเล่าลือเกี่ยวกับเรื่องของชายหนุ่มที่ติดยาเสพติดเขานำกัญชามาแอบเสพอยู่ตรงบริเวณชายป่าแห่งนี้หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมาพบศพของเขานอนตายอยู่ข้างกัญชาซึ่งบริเวณข้างลำตัวของเขานั้นยังมีกัญชาเต็มไปหมดทำให้จุดบริเวณนี้เป็นจุดที่ชาวบ้านเชื่อกันว่ามีวิญญาณหลากหลายอาศัยอยู่และที่สำคัญเมื่อช่วงตอนที่มีการเริ่มสร้างหมู่บ้านลัดดาแลนด์นั้น

คุณนายลัดดาได้มีการสั่งให้ช่างขุดสระน้ำเพื่อจะทำเป็นสระน้ำสาธารณะให้กับคนในหมู่บ้านได้มีบรรยากาศสระน้ำขนาดใหญ่กลางหมู่บ้านนั้นเองแต่อย่างไรก็ตามช่างที่ขุดสระน้ำนั้นได้มีการออกมาเปิดเผยว่าในระหว่างที่มีการขุดดินเพื่อทำสระน้ำนั้นเมื่อพวกเขาขุดดินลงไปก็จะพบโครงกระดูกเป็นจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ที่นำมาสร้างเป็นสระน้ำนี้ซึ่งเมื่อนับรวมแล้วก็เกือบ 100 กว่าจบเลยทีเดียว

และที่น่าหวาดกลัวอีกหนึ่งเรื่องนั้นก็คือบริเวณที่ดินรกร้างแห่งนี้ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างเป็นหมู่บ้านลัดดาแลนด์นั้นชาวบ้านมักจะนำลูกกะตาสะเดาะเคราะห์หรือไม่ก็เป็นพวกศาลพระภูมิที่ไม่ได้ใช้แล้วนำมาทิ้งที่ป่าแห่งนี้เป็นจำนวนมากทางด้านเทศกิจเองต้องการที่จะทำความสะอาดพื้นที่ป่าแห่งนี้

จึงได้มีการขนตุ๊กตารวมทั้งศาลพระภูมิเก่าไปทิ้งที่อื่นแต่อย่างไรก็ตามมีการพูดคุยและเล่าต่อกันมาว่าทุกครั้งที่ทางเทศกิจนำตุ๊กตาสะเดาะเคราะห์หรือศาลพระภูมิไปทิ้งที่อื่นรุ่งเช้าตุ๊กตาเหล่านั้นก็จะกลับมาอยู่ที่เดิมซึ่งเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้งจนไม่มีใครกล้าที่จะนำตุ๊กตาสะเดาะเคราะห์หรือศาลพระภูมิที่ถูกทิ้งอยู่ที่แห่งนี้ไปทิ้งที่อื่นเลยและนี่คือตำนานที่เล่าขานกันมาเกี่ยวกับความน่ากลัวของที่ดินที่ถูกนำมาสร้างเป็นหมู่บ้านลัดดา ที่ดินเชียงใหม่นั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  sagame

เมืองAtlantisจริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหนกัน?

เขาบอกว่าAtlantisไม่ใช่เมืองและAtlantisก็ไม่ใช่ประเทศแต่Atlantisได้เป็นทวีปทวีปหนึ่งที่ได้มีความใหญ่เท่ากับทวีปแอฟริการวมกับทวีปเอเซียเลย ซึ่งมันใหญ่มากถ้าเราลองเอาไปเปรียบเทียบในแมพของโลกเราในปัจจุบันและในบันทึกก็ยังได้บอกลายละเอียดต่างๆในเมืองAtlantisอีกด้วยว่าในเมืองAtlantisมีทั้งเทคโนโลยี

ที่ทันสมัยสามารถเรียกฟ้าเรียกฝนได้ใจคิดสามารถปรับสภาพอากาศได้และควบคุมน้ำหรือทะเลโดยบริเวณรอบๆเมืองAtlantisได้อีกด้วยและผู้คนที่อยู่ในAtlantisยังได้มีความฉลาดรวมไปถึงมีอายุเฉลี่ยยืนยาวถึง800ปีกันเลยทีเดียวและที่สำคัญมากที่สุดคือตามบันทึกเขาได้บอกว่าคนชาวเมืองAtlantis

ไม่ได้เป็นคนธรรมดาที่อยู่บนโลกแต่เป็นมนุษย์ที่ได้มาจากดวงดาว ดวงอื่นหรือมนุษย์ต่างดาวนั่นแหละ โดยอาณาจักรAtlantisจะเป็นอาณาจักรที่ลักษณะดูคล้ายๆวงกลมอยู่สามรอบวงกลมที่ได้ครอบคุมตัวเมืองทั้งหมดเลย โดยสามรอบวงนี้ในแต่ละวงมันก็ได้มีความหมายของมันเป็นการแบ่งวรรณะชนชั้นต่างๆ

เช่นชนชั้นกษัตริย์ชนชั้นคนธรรมดาและชนชั้นทหารเป็นต้นสำหรับข้อสันนิษฐานการล่มสลายของอาณาจักรAtlantisมีอยู่เยอะแยะมากมายทั้งที่เราเคยได้ยินและที่เราไม่เคยได้ยินทั้งเกิดโรคภัยไข้เจ็บในยุคนั้นโรคละบาดที่ไม่สามารถรักษาได้มีการต่อสู้มีการรบลาฆ่าฟัน

และมีการแย่งชิงอำนาจกันในครั้งใหญ่ในยุคนั้นหรือถ้าเอา สิ่งที่คนเชื่อกันมากที่สุดและสิ่งๆนี้มันได้เป็นหลักความเชื่อนั่นก็คือการถูกทำลายด้วยความพิโรจน์ของเทพโพไซดอนผู้ที่คิดสร้างAtlantisขึ้นมา เนื่องจากเกิดการรบลาฆ่าฟันกันแย่งชิงอำนาจกันจากนั้นเทพโพไซดอนก็เลยทำลายAtlantisลงด้วยการสั่งให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ

ได้เกิดขึ้นมานั้นเอง ซึ่งการหายไปของอาณาจักรAtlantisทางประวัติศาสตร์เขาก็ไม่ได้มีการยืนยันหรือว่ามีหลักฐานที่บ่งบอกว่าอาณาจักรAtlantisมันหายไปได้ยังไงเพราะว่ามันไม่ได้มีการค้นพบไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่เราได้มีการค้นพบในแต่ละที่นั้นมันเป็นเมืองไหนมันใช่เมืองAtlantisจริงๆ

หรือเปล่าถ้าเราสังเกตในข่าวหรือว่าข้อมูลต่างๆเราก็จะสังเกตได้เลยว่ามันมีอยู่หลายหัวข้อที่ได้บอกว่าได้มีการค้นพบเมืองAtlantisตรงพื้นที่ตรงนี้ซึ่งแต่ละที่นั้นมันก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งเมืองAtlantisจริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหนเราก็ยังไม่รู้เพราะเราไม่ได้มีการค้นพบนั้นเองมันเลยสรุปไม่ได้เลย

ว่าเมืองAtlantisนั้นมันได้ล่มสลายไปเพราะอะไร แต่ว่าล่าสุดเขาได้บอกว่าได้มีทีมนักสำรวจทีมหนึ่งได้ไปเจอพื้นที่ที่เขาคลาดกันว่ามันน่าจะเป็นที่ตั้งของเมืองAtlantisจริงๆและตำแหน่งนั้นปัจจุบันได้อยู่ทางตอนใต้ของสเปน

 

สนับสนุนโดย  bk8

เรื่องเล่าสยองขวัญโดนผีนางรำหลอก

เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่ฉันยังเป็นนักเรียนอยู่ในวันนั้นเป็นช่วงตอน 15:00 นพอดีซึ่งเป็นช่วงที่นักเรียนทุกคนจะเริ่มต้นกับบ้านหรือใครที่เรียนพิเศษก็จะเริ่มไปเรียนพิเศษตอนนี้ทุกวันนั้นทำได้ขอพ่อให้เรียนพิเศษนะพ่อกลับปฏิเสธว่าครอบครัวเราจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในการดูแลและส่งเสียน้องดังนั้น

จึงไม่สามารถที่จะนำเงินไปให้ฉันได้ยินพิเศษได้จะถึงแม้จะได้ยินอย่างนั้นแต่ฉันก็ยังเป็นขอให้คุณครูสอนพิเศษฉันคือคุณครูก็เป็นคนที่ใจดีมากและตกลงที่จะสอนพิเศษให้ฟรีโดยไม่คิดเงินถ้าเป็นคุณครูผู้หญิงซึ่งมีชื่อว่าครูจิ๊บครูติ๊กสอนวิชาการแต่มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันได้ฟังเรื่องผีมาเมื่อคืน

ดังนั้นในวันต่อมาตอนเรียนพิเศษซึ่งของคุณครูให้เล่าเรื่องผีให้ฟังเพราะคุณครูเคยบอกว่าตัวเองเคยเจอผีจริงๆกับตัวทุกคนขอร้องเป็นอย่างมากให้คุณครูยอมเล่าเรื่องแต่คุณครูก็ไม่ยอมรับสักทีสุดท้ายพวกเราจึงสัญญาว่าจะทำงานส่งครูให้เพิ่มเป็น 2 เท่าถ้าคุณครูเล่าให้ฟังอย่างนั้นคุณครูคิดสักพักแล้วก็จึงเล่าให้เราฟัง ว่า

  สมัยนั้นเป็นตอนที่คุณครูกำลังเป็นวัยรุ่นอยู่คุณครูถูกสั่งให้ไปดูและทำการดูแลค่ายอบรมซึ่งจะทำการอบรมที่โรงเรียนเก่าซึ่งมีอยู่นานมาแล้วซึ่งตอนนี้ก็ได้ปิดตัวลงไปแล้วซึ่งคุณครูของฉันหรือครูจิ๊บเดินทางไปกับเพื่อนสนิทที่เป็นคุณครูซึ่งมีชื่อว่าครูเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันและสุขสันต์ให้ไปอบรมค่ายที่นั่นที่เดียวกัน

ดังนั้นจึงไปด้วยกันซึ่งตอนนั้นคุณครูก็ได้พบกับบ้านพักของคุณครูและเพื่อนสนิทซึ่งห้องนอนของทั้งสองคนจะต้องนอนอยู่ในห้องเดียวกันที่ชั้นล่างชั้น 2 ได้ติดป้ายไว้อย่างชัดเจนว่าไม่ให้ขึ้นไปโดยเด็ดขาดไม่งั้นจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและแจ้งข้อหาบุกรุกด้วยความที่กลัวว่า

โดนเจ้าหน้าที่จะดังนั้นเราจึงเลือกที่จะไม่สนใจข้างๆของห้องพักของคุณครูทั้งสองคนจะมีห้องรำไทยอยู่ทางขวาทางซ้ายจะเป็นห้องดนตรีไทยคุณครูไม่ได้สนใจแต่อยู่ๆเพื่อนของคุณครูก็เดินขึ้นไปสำรวจบนชั้นบนซึ่งก็คือครูเก๋านั่นเองก็เห็นอย่างนั้นคุณครูจึงเลือกที่จะเดินตามขึ้นไป

หลังจากนั้นอยู่ๆคุณครูก็ได้ยินเสียงเพลงเสียงจากดนตรีไทยยกตัวอย่างเช่นระนาดขึ้นตอนนั้นทั้งคุณครูรู้สึกงงเป็นอย่างมากหลังจากนั้นครูเขาก็ได้เห็นว่าเหมือนมีร่างดำๆวิ่งตัดหน้าผ่านไปและรู้สึกว่าร่างกำยำน้ำกำลังรำอยู่แต่พอคุณครูเขาและครูจิ๊บหันหลังไปก็ไม่มีอะไรทั้งสองคนงงมากซึ่งก็จะเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง พี่ทั้งสองคนหันหลังกลับไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจำขึ้นไปเรื่อยๆคุณครูทนไม่ไหวจึงลาออกจากโรงเรียนแล้วกลับบ้านไปจนสุดท้ายก็ได้มาทำงานที่นี่

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน สมัครฟรี

ตำนานรักที่แสนเศร้าของดาวพลูโต ดาวที่ถูกลืมไปจากจักวาร

หลายๆคนอาจจะไม่รู้จักดาวพลูโตเพราะส่วนใหญ่มันคือดาวที่ถูกลืมไปทั่วโลก ซึ้งเรื่องของดาวพลูโตนั้นมันมีแต่เรื่องเศร้าๆทั้งนั้นและมันคือดาวที่น่าสงสารเหลือเกิน เพราะความรักที่มันไม่ได้รับความรักตอบกลับจากดาวดวงอื่น   ซึ้งดาวพลูโตนั้นมันก็มีตำนานของมันเช่นเดียวกันค่ะ โดยตำนานนั้นจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวเราไปรับฟังไปพร้อมๆกันเลยค่ะว่าตำนานนี้จะเศร้ามากใช่ไหมอะไรที่มันถูกลืมไปในที่สุด 

 เมื่อหลาย100 ปีก่อนดาวพลูโตคือดาวที่เคยเป็นดาวที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์ก็คือดวงดาวที่มีแสงสว่างมากที่สุดมันร้อนมากจนสามารถละลายเหล็กได้เลย ดาวหลายๆดวงรอบดวงอาทิตย์ ดาวพลูโตก็เป็นดาวที่แอบชอบดวงอาทิตย์เช่นเดียวกันทุกตัวนั้นจะพยามโคจรตัวเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์ให้มากที่สุด

เพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกับดวงอาทิตย์และดวงอาทิตย์จะได้สนใจแต่ดาวพลูโตนั้นถึงแม้ว่ามันจะชอบดวงอาทิตย์มากแค่ไหนแต่มันก็ไม่เคยพยายามเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์เลยมันได้แต่เฝ้าดูดวงอาทิตย์อยู่ไกลๆและก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่ก็ยังซื่อสัตย์กับความรักที่มันมีต่อรองอาทิตย์มาตลอดหลายสิบปีโดยมันไม่เคยที่จะรักใครเพียงแค่รักดวงอาทิตย์และเฝ้ามองดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลาหลังจากที่มันพยายามทำตัวไม่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์

เหมือนดาวดวงอื่นมันก็เพราะว่าตอนนี้มันอยู่ไกลเกินไปไกลมากกว่าที่มันจะสามารถเข้าใกล้ดาวดวงอื่นได้แล้วตอนนี้ดาวเกือบทุกดวงเกือบจะลืมมันไปแล้วแล้วมันก็คงไม่มีโอกาสที่จะสามารถที่จะสารภาพความรักที่มันมีต่อดวงอาทิตย์ได้ทุกๆวันดวงอาทิตย์ก็จะเริ่มลอยออกไปหาเจ้าดาวพลูโตมากขึ้นเรื่อยๆ

จะพยายามเข้าใกล้มากเท่าไหร่ดวงอาทิตย์ก็ยิ่งอยู่ไกลมากขึ้นเท่านั้นไม่นานดาวทุกดวงก็ลืมดาวพลูโตการตำรวจถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นมันก็ยังคงทำหน้าที่โคจรรอบดวงอาทิตย์พร้อมกับเป็นดาวที่เป็นทาสรับใช้ของดวงอาทิตย์ตลอดมาหลังจากที่มันกำลังจะถูกลืมครบทุกดวงจากดวงดาวตัวอื่นแล้วมันก็ถูกขับไล่ออก

จากการเป็นทาสและบริวารของดวงอาทิตย์ทำให้มันเสียใจเป็นอย่างมากแต่มันก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้อีกแล้วแต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้มันก็ยังคงรักและเฝ้ารอวันที่มันจะได้ไปสารภาพรักกับวันอาทิตย์สุดท้ายมันก็ถูกลืมไปเองและกลายเป็นดาวที่ไม่ได้แสงสว่างอีกตลอดค่ะ

 

สนับสนุนโดย  สูตร sagame

เล่ากันมานานจนเป็นตำนานกับสโนไวท์ และคนแคะ

นักเรียนเห็นเงินราชินีองค์หนึ่งที่ยังไม่มีลูกในช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวเธอได้ทำการขอกับพระเจ้าว่าฉันต้องการให้เธอมีลูกสาวมันจากนั้นไม่นานเธอก็ได้คลอดลูกออกมาแต่ 1 เดือนผ่านไปเธอก็เสียชีวิตลงเนื่องจากอาการป่วยน่ะทำให้พระราชาที่แต่งงานกับคุณใหม่ซึ่งจริงๆแล้วเธอนั้นเป็นแม่มด

แต่ไม่นานพระราชาก็หายตัวไปอย่างเป็นปริศนาและแม่มดก็พบว่าสโนไวท์สวยงามกว่านางเธออยากให้เธอเป็นคนที่สวยที่สุดในปฐพีเธอจึงสั่งให้นายพรานคนหนึ่งรอให้สโนไวท์เข้าไปในป่าและค่าเทอมพร้อมกับนำหัวใจของสโนไวท์มาเป็นหลักฐานว่าเขาฆ่าเธอแล้วจริงๆซึ่งเขาก็ทำตามเนื่องจากลัวในอำนาจของเธอแต่ไม่นานเขาก็เปลี่ยนใจสั่งให้สโนไวท์หนีไปแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีกและเขาก็ได้ทำการนำหัวใจหมูไปแทน

ซึ่งแม่มดก็ไม่รู้และคิดว่าเธอได้ทำการฆ่าสโนไวท์ไปแล้วสโนไวท์หลงเข้าไปในป่าเจอกับกระท่อมหลังนึงไม่ใช่เดินเข้าไปเถอะพบกับโต๊ะขนาดเล็กจับถ้วยชามใส่โจ๊กและสลัดผักรวมถึงน้ำเปล่าหลายๆแก้วรวมกันได้ทั้งหมด 7 ชุดซึ่งเธอก็กินของทุกอย่างจะหมดและก็หันไปเจอกับห้องนอนห้องนึงไม่มีเตียงทั้งหมด 7 เตียง

เนื่องจากความเหนื่อยเธอจึงไปนอนที่นั่นแหละหลังจากนั้นเจ้าของบ้านก็กลับมาซึ่งเจ้าของบ้านคือคนแคระซึ่งมีกันทั้งหมด 7 คนพวกเขาเห็นว่าอาหารที่เตรียมเอาไว้ก่อนออกไปทำงานหายไปแล้วเมื่อมองไปที่เตียงก็พบกับหญิงสาวซึ่งก็คือสโนไวท์นอนอยู่เมื่อคืนเอาไว้ตื่นขึ้นแล้วคนแคระทั้ง 7 ก็ถามว่าเธอมาจากไหน

และมาที่นี่ได้ยังไงซึ่งเธอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดทั้ง 7 อนุญาตให้เธออยู่ที่บ้านแต่ต้องทำอาหารให้พวกเขาทุกๆวันเธอตอบตกลงและทำอย่างนั้นทุกๆวันแต่มีอยู่วันหนึ่งที่แม่มดเพิ่งรู้ว่าเธอได้ถูกหลอกเธอเป็นทำการฆ่านายพรานคนนั้นแปลงร่างเป็นหญิงแก่พร้อมกับ Apple ที่มียาพิษอยู่เธอเดินเข้าไปหาบ้านของคนแคระทั้ง 7

และเรียกให้สโนไวท์ออกมาซึ่งเธอนั้นบอกว่าฉันต้องการที่จะแลกแอปเปิ้ลกับขนมปังใส่แยมสโนไวท์ไม่รู้อะไรเลยเธอจะได้ทำการแลกกันสโนไวท์กับแอปเปิ้ลคำแรกเธอก็สลบไปทันทีเมื่อคนแคระทั้งเจ็ดมาเห็นเธอเธอก็ตายไปแล้วทุกคนเสียใจมากและสร้างโรงศพให้กับเธอ

แต่ไม่นานเจ้าชายก็เดินทางผ่านมาพบกับสโนไวท์เขาก็ตกหลุมรักเธอเขาเลยต้องการจะนำศพของเธอไปที่พระราชวังและสร้างสุสานเฉพาะของเธอขึ้นมาไม่นานระหว่างที่กำลังขนย้ายโรงศพคนใช้ที่ขนโลงศพก้อนหินข้าวไม่ลงกระแทกพื้นที่เปิดฝาโลงศพออกพร้อมกับดูว่าศพเป็นอะไรมากหรือไม่การหลังจากนั้นศพของสโนไวท์ เนื่องจากเพียงแค่เปลือกของ Apple เธอเท่านั้นแต่ตอนนี้มันหลุดออกมาแล้วทำให้เธอฟื้นคืนชีพอีกครั้งแล้วทั้งสองก็แต่งงานกันในที่สุดและมีชีวิตอยู่ตลอดไป

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  ติดต่อ bk8

ตํานานแฟรงเกนสไตน์ 

ตำนานเกี่ยวกับ Frankenstein นั้นเชื่อว่าจะตายคือส่วนของสัตว์ต่างๆซึ่งถูกนำมาเย็บต่อกันให้กลายเป็นร่างเกี่ยวกับมนุษย์ทุกอย่างจะเหมือนมนุษย์ที่แปลกไปก็คือรอยยิ้มจากศพอื่นๆที่นำมาประติดประต่อกันเท่านั้น

นอกจากนั้นตรงคอของสังเกตตายทุกตัวจะมีเหมือนปูปัจจุบันทั้งสองด้านซึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณไฟฟ้าชนิดหนึ่งทำให้มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้แล้ววันนี้เราจะมาพูดถึงตำนานเกี่ยวกับFrankensteinที่แท้จริงมันเป็นยังไงและใครเป็นคนสร้างตำนานนี้ขึ้นมาเรามาดูกันไปพร้อมๆกันเลยค่ะ 

ตำนานของ Frankenstein  1 มกราคมเมื่อคริสตศักราช 1 8 เรื่อง เรื่องเล่า เรื่องเล่าว่าได้ Victor Frankenstein เรื่องเล่าว่าได้มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเขามีนามว่าวิคเตอร์แฟรงเกนสไตน์ เขาเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องของกระแสไฟฟ้าที่จะเข้าไปในร่างกายของมนุษย์เท่านั้นก็ได้ทำการทดลองมาหลายครั้งกับสัตว์ต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นหนูเป็ดหรือไก่รวมถึงลิงเขาก็ทำงานต่อนะแต่มันก็ยังไม่สำเร็จสักทีซึ่งมีอยู่วันหนึ่งเขาได้คิดขึ้นมาเกี่ยวกับการนำชิ้นส่วนของส่วนต่างๆมาปะติดปะต่อกันและสร้างให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้งเดินทางไปที่สุสานแห่งหนึ่งซึ่งเขานั้นก็ได้นำชิ้นส่วนศพที่ยังไม่เน่าเปื่อยและยังมีสภาพที่ดีนำมาทำความสะอาดคราบเลือดออกซะจะแต่งตัวใหม่และทำการเย็บร่างกายเข้าด้วยกันหลังจากนั้นเขาก็นำมันไปทำการทดลองหลายๆอย่างผ่านไปเพียงแค่ 3 ชั่วโมง

เจ้าศพพรุ่งนี้ก็กลับกลายขึ้นมากลายเป็นมนุษย์ไฟฟ้าที่มีร่างกายกำยำและมีขนาดใหญ่มากกว่าคนอื่นด้วยมันจะมีสิ่งของคล้ายๆกับกูอยู่ที่คอทั้งสองข้างของมันเพื่อเป็นการเชื่อมกระแสไฟฟ้าในร่างกายของมันหากไม่มีสิ่งของที่คล้ายกับกูอันนี้อยู่ที่ร่างกายของมันมันก็จะตาย

ซึ่งหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสร้างมันเสร็จเขาก็เกิดความกลัวFrankenstein ขึ้นมาทำให้เขาได้ทำการหนีไปซึ่งหลังจากนั้นเจ้ามนุษย์กระแสไฟฟ้าตัวนี้ มันก็ต้องการที่จะมีเพื่อนเนื่องจากไม่มีใครกล้าเป็นเพื่อนกับมันเลยเดินทางไปหานักวิทยาศาสตร์ที่สร้างมันขึ้นมาและขอร้องให้เขาสร้างเพื่อนของมัน

ขึ้นมาสาดกับปฏิเสธมันจะพยายามฆ่าครอบครัวของเขาจนเขาไม่เหลืออะไรเลยซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการฆ่าตัวตายและสุดท้ายเจ้าFrankenstein ไม่มีทั้งเพื่อนรวมถึงไม่มีคนที่คอยสร้างเขาด้วย

และนี้ก็คือตำนานเกี่ยวกับแฟรงเกนสไตน์ค่ะ สำหรับฉันเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เศร้านิดหนึ่งค่ะเพราะสุดท้ายแฟรงเกนสไตน์ก็ไม่สมหวังและก็ไม่เหลือใครค่ะ

 

สนับสนุนโดย  bk8 ฝากเงิน