คลังเก็บป้ายกำกับ: bk8

ประวัติสะพานหันในสมัยรัชกาลที่หนึ่ง

พูดถึงสะพานหันขึ้นมาแบบนี้เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักกันดีใช่หรือไม่ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไปหาของกินย่านสะพานหันคนที่เคยไปช้อปปิ้งแถวสำเพ็งก็น่าจะเคยได้ยินชื่อสะพานหันหรือแม้กระทั่งคนที่ไม่รู้ทิศรู้ทางอะไรเลยก็น่าจะเคยได้ยินชื่อสะพานหันจากเกมเศรษฐีในภาษาไทยในสมัยเด็กเกมเศรษฐีช่องสุดท้ายก่อนที่จะเข้าปีใหม่รับภาษี2พันบาทมันจะต้องเป็นช่องสะพานหัน

ซึ่งเป็นช่องที่แพงที่สุดและคนก็จะแย้งกันโดยเราจำชื่อได้ดีเลยว่าสะพานหันแต่อยากรู้กันหรือไม่ว่าสะพานหันนั้นมันหันไปทางไหนหันซ้ายหรือหันขวาหันกลับหน้าหรือหันไปข้างหลังต้องบอกเลยว่าเราได้ไปศึกษาหาข้อมูลมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกันแล้วและบอกเลยว่าประวัติศาสตร์ของสะพานหันน่าสนใจเป็นอย่างมากพร้อมแล้วไปกันเลย

นอกจากนี้สะพานหันเป็นสะพานที่มีที่มาตั้งแต่รัตนโกสินทร์ตอนต้นจำได้ใช่หรือไม่ว่ากรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองหลวงใหม่ที่ย้ายมาจากฝังกรุงธนบุรีย้ายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาในสมัยรัชกาลที่1แน่นอนแล้วว่าตอนที่สร้างเมืองหลวงใหม่แน่นอนแล้วว่าจะต้องมีการสร้างเมืองขึ้นมาแล้วเมืองในสมัยก่อนมันไม่ใช่เมืองในสมัยปัจจุบันนี้ที่แบบแพร่ขยายไปทั่ว

เนื่องจากนี้ในสมัยก่อนนั้นเมืองคืออะไรเมืองก็คือเกาะพระนครแปลว่ามันจะต้องเป็นเกาะเพื่อความปลอดภัยในการรบทัพจับศึกอะไรต่างๆเกิดมีใครมาล้อมเมืองเกาะ

ดังนั้นแน่นอนแล้วว่าบริเวณที่ดินแต่เดิมมันไม่ได้เป็นเกาะเมื่อมีการมาตั้งพระราชวังตั้งสนามหลวงตั้งอะไรใหม่เขาก็จะต้องมีการสร้างพระราชวงศ์สร้างป้อมสร้างกำแพลสร้างประตูเมืองขึ้นมาใหม่และก็ต้องมีการขุดคลองคคูเมืองอีกด้วย

โดยคลองคูเมืองในตอนนั้นก็ขุดเฉพาะบางช่วงเพราะว่าในบางช่วงมันก็ติดอยู่กับแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่แล้วใช้แม่น้เจ้าพระยาเป็นคูเมืองได้บริเวณที่ขุดก็ขุดยาวไปตั้งแต่บริเวณบางลำพูไปจนถึงบริเวณวัดเชิงเลนโดยขุดเป็นคลองกว้างสิบวาลึก5ศอกส่วนความยาว85เส้น13วาก็ค่อนข้างจะลึกและยาวมากเลยทีเดียว

ปรากฏว่าพอได้ขุดคูเมืองขุดอะไรเสร็จแล้วเกาะพระนครก็มีสภาพเป็นเกาะแล้วปัญหาก็คือแล้วประชาชนเดินทางเข้าออกไนพระนครกับนอกพระนครยังไงแน่นอนเดินไม่ได้ก็จะต้องมีสะพานเกิดขึ้นในตอนนั้นถ้าใครคุ้นกับประวัติกรุงเทพมหานครจะรู้ว่าที่ดินบริเวณเดิมที่เป็นเกาะพระนครเป็นที่อยู่ของชาวจีน

เมื่อมีการสร้างเมืองขึ้นชาวจีนก็เลยย้ายที่อยู่ไปที่บริเวณสำเพ็งดังนั้นบริเวณที่มีคนหนาแน่นมากที่สุดนอกเกาะพระนครก็คือที่บริเวณสำเพ็ง

 

ขอขอบคุณ  bk8  ที่ให้การสนับสนุน

คำยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์เรื่อง เดจาวู 

สำหรับทฤษฎีคิดไปเองของเดจาวู  ซึ่งโดยตามหลักของนักวิทยาศาสตร์แล้วที่เขาได้มีการบอกเอาไว้ว่าในสมองของมนุษย์คนเรามันก็เปรียบได้เหมือนกับเครื่องจักรกล

ซึ่งในบางที่มันก็อาจจะมีอาการเบอลหรือว่ามีอาการช็อดมันก็อาจจะมีอยู่บ้างซึ่งมันก็เลยอาจจะทำให้ในหัวของมนุษย์เรานั้นก็อาจจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้เราเคยมากที่แห่งนี้เราได้เคยพบเจอในสมัยอดีตมาแล้วแต่สมองของเรานั้นมันกับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างอะไรประมาณนี้ถ้าถ้าจะเอาง่ายๆก็คือ คิดไปเอง

และสำหรับไอคำว่าเดจาวูนั้นมันก็ได้มีหลักฐานในการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วซึ่งเมื่อกี่มันเป็นแค่เพียงทฤษฎีเฉยๆ โดยเบื้องต้นเขายังได้กล่าวเอาไว้อีกว่าในการไหลเวียนของคลื่นที่มันได้อยู่ในสมองของมนุษย์คนเรานั้นมันได้มีความผิดปกติมันก็เลยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาที่เราเรียกมันว่า เดจาวู

แต่ทีนี้เขาก็ยังได้เขียนเป็นลายลักอักษรว่า อาการของสมองลวนนั้นมันได้เกิดขึ้นมาจากออะไรกันแน่ ซึ่ง เดจาวู นั้นมันได้เกิดขึ้นสมองกับดวงตาของมนุษย์เรานั้นมันเกิดมีการทำงานที่ไม่ประสานกันถ้าจะให้เรานั้นได้พูดตามหลักของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ซึ่งมนุษย์ของเรานั้นจะมีลูกตาอยู่สองข้างนั่นก็คือตาซ้ายกับตาขวาและในส่วนของสมองเรานั้นมันก็จะมีซีกซ้ายกับซีกขวาถ้าหากสมมุตอว่าเราได้มองสิ่งๆ

หนึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางที่คนๆเดียวที่จะใช้ตาขวามองสิ่งนี้ใช้ตาซ้ายมองสิ่งนี้ซึ่งมันจะเป็นไปไม่ได้เพราะเราเป็นมนุษย์ไม่ใช่กิ่งก่าเมื่อเราได้มองสิ่งๆหนึ่งแน่นอนว่าตาซ้ายกับตาขวาเราจะมองวัตถุชิ้นนี้แล้วภาพที่เราได้มองผ่านจอประสาทตามันก็จะส่งผ่านเข้าไปที่สมองของเราโดยตาซ้ายของเรานั้นมันจะส่งภาพไปยังของสมองซีกขวาตาขวาจะส่งภาพไปยังสมองซีกซ้าย

และในการทำงานตรงจุดนี้มันเป็นการทำงานที่มันจะต้องประสานกันอยู่แล้วเพราะถ้าหากว่ามันส่งภาพช้าไปแม้แต่วินาทีเดียวมันอาจจะทำให้ความคิดในหัวของเราได้เกิดความผิดปกติสมมุติว่าสมองซีกขวาได้รับภาพมาเร็วกว่าสมองซีกซ้ายสมองซีกขวามันก็จะมีความทรงจำในหัวว่าเราได้เห็นภาพนี้มาแล้ว

โดนสมองซีกซ้ายที่ได้รับภาพช้ากว่าสมองซีกขวาแค่เสี้ยววินาทีเดียวจะมีความคิดขึ้นมาในหัวเลยว่าเราเคยมาที่นี่แล้วในตอนนั้นไม่รู้ทำไมมันถึงได้คุ้นจังเหมือนภาพมันมาในภาพเดียวแต่สมองด้านขวามันรับเร็วกว่าแต่ด้านซ้ายมันรับช้ากว่าในขณะสมองซีกขวาประมวณผลไปแล้วว่าเราได้เห็นภาพนี้ไปแล้วแต่อีกฝั่งหนึ่งบอกว่าเราพึ่งจะเห็นและนี่มันก็ได้เป็นคำยืนยันจากทางวิทยาศาสตร์สำหรับเรื่องเดจาวู

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

เมืองAtlantisจริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหนกัน?

เขาบอกว่าAtlantisไม่ใช่เมืองและAtlantisก็ไม่ใช่ประเทศแต่Atlantisได้เป็นทวีปทวีปหนึ่งที่ได้มีความใหญ่เท่ากับทวีปแอฟริการวมกับทวีปเอเซียเลย ซึ่งมันใหญ่มากถ้าเราลองเอาไปเปรียบเทียบในแมพของโลกเราในปัจจุบันและในบันทึกก็ยังได้บอกลายละเอียดต่างๆในเมืองAtlantisอีกด้วยว่าในเมืองAtlantisมีทั้งเทคโนโลยี

ที่ทันสมัยสามารถเรียกฟ้าเรียกฝนได้ใจคิดสามารถปรับสภาพอากาศได้และควบคุมน้ำหรือทะเลโดยบริเวณรอบๆเมืองAtlantisได้อีกด้วยและผู้คนที่อยู่ในAtlantisยังได้มีความฉลาดรวมไปถึงมีอายุเฉลี่ยยืนยาวถึง800ปีกันเลยทีเดียวและที่สำคัญมากที่สุดคือตามบันทึกเขาได้บอกว่าคนชาวเมืองAtlantis

ไม่ได้เป็นคนธรรมดาที่อยู่บนโลกแต่เป็นมนุษย์ที่ได้มาจากดวงดาว ดวงอื่นหรือมนุษย์ต่างดาวนั่นแหละ โดยอาณาจักรAtlantisจะเป็นอาณาจักรที่ลักษณะดูคล้ายๆวงกลมอยู่สามรอบวงกลมที่ได้ครอบคุมตัวเมืองทั้งหมดเลย โดยสามรอบวงนี้ในแต่ละวงมันก็ได้มีความหมายของมันเป็นการแบ่งวรรณะชนชั้นต่างๆ

เช่นชนชั้นกษัตริย์ชนชั้นคนธรรมดาและชนชั้นทหารเป็นต้นสำหรับข้อสันนิษฐานการล่มสลายของอาณาจักรAtlantisมีอยู่เยอะแยะมากมายทั้งที่เราเคยได้ยินและที่เราไม่เคยได้ยินทั้งเกิดโรคภัยไข้เจ็บในยุคนั้นโรคละบาดที่ไม่สามารถรักษาได้มีการต่อสู้มีการรบลาฆ่าฟัน

และมีการแย่งชิงอำนาจกันในครั้งใหญ่ในยุคนั้นหรือถ้าเอา สิ่งที่คนเชื่อกันมากที่สุดและสิ่งๆนี้มันได้เป็นหลักความเชื่อนั่นก็คือการถูกทำลายด้วยความพิโรจน์ของเทพโพไซดอนผู้ที่คิดสร้างAtlantisขึ้นมา เนื่องจากเกิดการรบลาฆ่าฟันกันแย่งชิงอำนาจกันจากนั้นเทพโพไซดอนก็เลยทำลายAtlantisลงด้วยการสั่งให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ

ได้เกิดขึ้นมานั้นเอง ซึ่งการหายไปของอาณาจักรAtlantisทางประวัติศาสตร์เขาก็ไม่ได้มีการยืนยันหรือว่ามีหลักฐานที่บ่งบอกว่าอาณาจักรAtlantisมันหายไปได้ยังไงเพราะว่ามันไม่ได้มีการค้นพบไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่เราได้มีการค้นพบในแต่ละที่นั้นมันเป็นเมืองไหนมันใช่เมืองAtlantisจริงๆ

หรือเปล่าถ้าเราสังเกตในข่าวหรือว่าข้อมูลต่างๆเราก็จะสังเกตได้เลยว่ามันมีอยู่หลายหัวข้อที่ได้บอกว่าได้มีการค้นพบเมืองAtlantisตรงพื้นที่ตรงนี้ซึ่งแต่ละที่นั้นมันก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งเมืองAtlantisจริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหนเราก็ยังไม่รู้เพราะเราไม่ได้มีการค้นพบนั้นเองมันเลยสรุปไม่ได้เลย

ว่าเมืองAtlantisนั้นมันได้ล่มสลายไปเพราะอะไร แต่ว่าล่าสุดเขาได้บอกว่าได้มีทีมนักสำรวจทีมหนึ่งได้ไปเจอพื้นที่ที่เขาคลาดกันว่ามันน่าจะเป็นที่ตั้งของเมืองAtlantisจริงๆและตำแหน่งนั้นปัจจุบันได้อยู่ทางตอนใต้ของสเปน

 

สนับสนุนโดย  bk8

แฟรงเกนสไตน์ซอมบี้ที่ฟื้นคืนชีพในปัจจุบันสามารถทำได้จริงแล้วจริงหรือเปล่า?

สำหรับเรื่องของตำนานการคืนชีพซอมบี้แฟรงเกนสไตน์ คือ เราจะต้องแยกออกเป็นสองกรณีคือ กรณีเรื่องของตำนาน และ กรณีในเรื่องของความเป็นจริง ซึ่งในเรื่องของด้านตำนานในอุดมคติของใครหลายๆคนเวลาที่เราได้พูดถึงซอมบี้แฟรงเกนสไตน์เราเชื่อว่าภาพที่หลายๆคนจะเห็นก็คงเป็นผีดิบที่ได้เกิดขึ้นมา

จากการซ่าของมนุษย์ด้วยการนำอวัยวะต่างๆในร่างกายคนที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้วนำมาตัดแต่ละชิ้นและนำมาเย็บติดต่อกันหลังจากนั้นก็นำเอามาช็อดไฟฟ้าเพื่อที่จะฟื้นคืนชีพคนเหล่านี้ขึ้นมาและมีแท่งเก็บพลังงานเอาไว้ที่ตรงบริเวณหัวหรือที่บริเวณใต้ต้นคอและนิสัยก็ไม่ค่อนจะเป้นมิตรกับมนุษย์สักเท่าไหร่ หลายๆคนพอได้พูดถึง แฟรงเกนสไตน์ ก็จะเห็นภาพอุดมคติกันประมาณนี้ใช่หรือไม่ ซึ่งเราก็ได้คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันในตอนแรก

แต่เอาจริงๆพอเราได้ไปศึกษาเกี่ยวกับ ตำนานของ แฟรงเกนสไตน์ มาถามว่ามันน่ากลัวแบบนั้นจริงๆมั้ยจริงๆมันก็น่ากลัวแต่ในใจแอบสงสารมากกว่าน่ากลัวอีกด้วยซ้ำคือ  ตำนานของ แฟรงเกนสไตน์ เขายังได้บอกเอาไว้ว่า ในกรุงGeneva,Switzerland เมื่อประมาณ200ปีก่อนได้มีบุคคลหนึ่งที่มีชื่อว่า Victor Frankenstein คนๆนี้ได้เป็นลูกของคนที่มีชื่อเสียงมีสถานะร่ำรวยและค่อนข้างที่จะฉลาดมากด้วยแต่ด้วยความที่ว่า Victor Frankenstein เป็นคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือมันเลย

ทำให้ชีวิตของเขามันดูที่จะน่าเบื่อไปทุกอย่างและมันไม่มีอะไรที่จะท่าทายพอที่จะให้เขามีความรู้สึกตื่นเต้นได้แต่อยู่ดีๆในวันหนึ่งสัตว์เลี้ยงและแม่ของ Victor Frankensteinก็ได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหันตรงนั้นมันเลยทำให้Victor Frankensteinได้เสียใจมากและเกิดเป็นเป้าหมายหนึ่งเป้าหมายในชีวิตขึ้นมานั่นก็คือการคืนชีพสิ่งมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งนั่นเอง ซึ่งเป้าหมายตรงจุดนี้มันดันไปตรงกับเป้าหมายของเพื่อนVictor Frankensteinคนหนึ่ง

ที่ได้อยู่ในมหาลัยคนๆนั้นนั่นก็คือHenry Clerval ซึ่งตัวHenry Clervalเองเขาได้มีเป้าหมายคือการฝืนหรือการเอาชนะธรรมชาติอย่างการคืนชีพสิ่งมีชีวิตขึ้นมาซึ่งแน่นอนว่ายังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้และยังไงมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอนแต่เขาเชื่อว่ามันมีหนทางที่จะทำให้มันเกิดขึ้นมาได้จริงๆ

โดยจุกเริ่มต้นแรงบัดดานใจของทั้งคู่มันเกิดจากการที่ว่าวันหนึ่งที่Victor Frankensteinได้เข้าเรียนวิชาการผ่าตัดสิ่งมีชีวิตเขาได้ทำการผ่าตัดกบตัวหนึ่งที่พึ่งตายได้ไม่นานและหลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการเย็บแผลให้กับกบตัวนั้นพร้อมกับช็อดไฟฟ้าเข้าไปในน้ำที่มีกบอยู่ปรากฏว่ากบตัวนั้นได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย

 

สนับสนุนโดย  bk8

รองเท้าสุดคลาสสิคที่เพิ่งจะเคยเห็น

รองเท้าไร้ส้น

สำหรับรองเท้าชนิดนี้เรายังสามารถที่จะพบเห็นกันอยู่ได้บ่อยเมื่อเหล่าแฟชั่นนิสต้าหลายคนปรากฎกายซึ่งมันได้ปรากฎตัวขึ้นครั้งแรกในงานเดินแบบเมื่อในปี2017และยังได้เป็นที่ฮือฮ่าอีกครั้งวิคตอเรียเบคแฮมก็ได้สวมใส่มันเมื่อในปีประมาณ2018 ซึ่งก็ได้มีดีไซเนอร์ชาวอิตาลีเขาได้เป็นคนที่ได้ออกแบบรองเท้าที่ไร้ส้นเป็นคนแรก

ทั้งนี้เธอก็ยังได้กล่าวอีกว่ารองเท้าคู่นี้มันจะทำให้เจ็บเท้าแล้วล่ะก็คุณนั้นคิดผิดไปอย่างมากเลยที่เดียวเพราะเหล่านางแบบที่ได้เข้ามาสวมใส่และได้เดินแบบนั้นจะรู้สึกแปลกๆกับมันในตอนแรกแต่พวกเขาก็ยังได้บอกอีกว่าเขานั้นได้ใส่และก็แบบธรรมดาเหมือนกับรอเท้าโดยทั่วๆไป

ซึ่งมันจะรักษาสมดุลของร่างกายได้เป็นอย่างดีแต่อย่างไรก็ตามทางแพทย์ก็ยังได้ออกมาเตือนว่ามันอาจจะทำร้ายเท้าและหัวเข่าและกระดูกสันหลังได้ในกรณีที่จะต้องใส่มันอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ

รองเท้าพาดูกัส

สำหรับชื่อพาดูกัสมันได้เป็นชื่อของรองเท้าที่ดูเก่าแก่ของชาวอินเดียมันเป็นเพียงส่วนรองเท้าที่มันได้มีตุ่มออกมาโดยจะให้ใช้ส่วนของนิ้วเท้าและนิ้วชี้หนีบยึดเอาไว้เท่านั้นเองและนอกจากพาดูกัสแบบธรรมดาแล้วก็ยังได้มาพาดูกัสแบบหนอมสำหรับคุณที่ชอบทรมานตนเองซึ่งคนที่ใส่นั้นมักจะชอบความรู้สึกของการทิ่มแทงจากหนอมแหลมซึ่งหลังจากที่ร่างกายได้ถูกทรมานจากปลายหนามราว20ถึง40นาทีกลไกรของร่างกายก็จะสั่งให้หลั่งสารเคมีรักษาความเจ็บปวดออกมา

จึงมันทำให้มีความรู้สึกชาเคลิ้มและเหมือนเราตกอยู่ในพวังบางก้ได้มาบอกว่ามันได้ไปถึงจุดสุดยอดกันเลยทีเดียวแต่ถึงแม้ว่ามันจะทำให้มีรู้สึกเช่นนี้ได้รองเท้าพาดูกันมันกับได้ถูกสวมใส่นักบวชของชาวฮินดูหรือผู้ที่ได้บำเพ็ญที่ชอบทรมานร่างกายของตัวเอง

รองเท้าเจ้าสาวหัวแหลมทำจากไม้

สำหรับรองเท้าเจ้าสาวที่ได้ทำมาจากไม้คู่นี้นั้นมันได้มีต้นกำเนิดมาจากแทบหุบเขาทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศษซึ่งย้อนกลับไปเมื่อสมัยศตวรรษที่9 คนชาวเมืองของที่นี่นั้นก็จะต้องต่อสู้กับกลุ่มแขกมัวผู้ที่ได้มารักเอาหญิงสาวในหมู่บ้านไปเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะจากนั้นพวกเขาก็ได้ควักหัวใจของศัตรูออกมาปักที่ปลายแหลมของยอดรองเท้าที่มันได้ทำมาจากไม้วอลนัท

ซึ่งรองเท้าคู่หนึ่งนั้นจะทำมาจากไม้วอลนัทโดยทั้งหมดและในภายหลังมาก้ได้มีการดัดต้นไม้วอลนัทให้มันได้เป็นรูปโค้งตามที่ต้องการเพื่อที่จะนำเอามาทำรองเท้าได้ง่ายขึ้นนั่นเองและชายหนุ่มก็จะมอบรองเท้าคู่นี้มอบให้กับหญิงสาวของเขาโดยเชื่อว่ายิ่งปลายรองเท้าสูงมากเท่าไรก็จะยิ่งแสดงถึงความรักที่ผู้ชายมอบให้มากเท่านั้น

 

สนับสนุนโดย  bk8